วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

ซามูไรแห่งฟากฟ้า: ซาบูโร ซาไก



ปกรณ์ นิลประพันธ์

 


           เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1916 (2459) ภรรยาของชาวนาในตระกูลซาไกผู้ขยันขันแข็งคนหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ ในตำบลนิชิโยกะ จังหวัดซากะ (จังหวัดนี้อยู่ติดกับจังหวัดนางาซากิและจังหวัดฟูกูโอกะ) ทางตอนเหนือของเกาะกิวชิว เกาะใต้สุดของญี่ปุ่น ได้ให้กำเนิดบุตรชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นบุตรชายคนที่ 4 ของครอบครัว บิดาได้ตั้งชื่อบุตรชายผู้นี้ว่า ซาบูโร่ (三郎)
 
          บิดาของซาบูโร่นั้นสืบเชื้อสายมาจากตระกูลซามูไร เขาจึงอบรมสั่งสอนบุตรชายทั้งสี่ให้ยึดมั่นและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในหลักบูชิโด (武士道) ของนักสู้ซามูไรที่ต้องซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเจ้านายโดยไม่เปลี่ยนแปลง ห้าวหาญและทำตามคำสั่งของเจ้านายโดยไม่ปริปากบ่นไม่ว่าจะลำบากยากเข็นเพียงใด และต้องพร้อมยอมพลีชีวิตเพื่อเจ้านายโดยไม่ลังเล ซึ่งซาบูโร่ได้ถือปฏิบัติตามหลักบูชิโดอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด และนี่เองทำให้เขาได้ฉายาจากนักบินรบข้าศึกที่ภายหลังกลับมาเป็นมิตรกันว่า เจ้าซามูไร
 
          เมื่อบิดาผู้ขันแข็งเสียชีวิตลงในปี 1927 (2470) ครอบครัวซาไกก็ประสบกับความยากลำบาก มารดาของเขาต้องดูแลลูก ๆ ซึ่งอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอนถึง 7 ชีวิต ขณะที่มีที่นาทำกินเพียง 2 ไร่ครึ่งเท่านั้น ลุงของเขาซึ่งทำงานในกระทรวงการสื่อสารจึงได้ยื่นมือมาช่วยเหลือโดยขอรับเด็กชายซาบูโร่ซึ่งเรียนเก่งที่สุดในบ้านและในตำบลไปเป็นบุตรบุญธรรมและส่งเสียให้เรียนต่อ ซาบูโร่ต้องย้ายไปอยู่บ้านลุงที่โตเกียวและต้องย้ายไปเรียนที่นั่น เด็กชายซาบูโร่จึงกลายเป็นความหวังของครอบครัวซาไกและชาวตำบลนิชิโยกะไปโดยปริยาย


          อย่างไรก็ตาม คุณภาพของโรงเรียนในโตเกียวกับโรงเรียนบ้านนอกของญี่ปุ่นในสมัยนั้นแตกต่างกันมากเกินไป เด็กเรียนเก่งจากบ้านนอกอย่างซาบูโร่จึงตามการเรียนการสอนที่เข้มงวดและมีการแข่งขันสูงในโรงเรียนใหม่ไม่ทันแม้จะมุมานะเท่าใดก็ตาม ประกอบกับเขาเป็นเด็กบ้านนอกที่มีฐานะยากจน จึงยิ่งทำให้เขาเข้ากับเพื่อนไม่ได้ และกลายเป็นแกะดำของห้องเรียนในเวลาไม่นาน เมื่อถูกกดดันมากเข้า ซาบูโร่จึงกลายเป็นเด็กมีปัญหาและมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนเป็นประจำแม้เขาจะตัวเล็กนิดเดียว จนเป็นที่เอือมระอาของครูอาจารย์ในโรงเรียนและถูกไล่ออกในที่สุด ลุงผู้หวังดีของเขาจึงต้องส่งตัวซาบูโร่กลับบ้านนอกทันทีเพื่อไม่ให้เขาเสียคนไปมากกว่านี้
 
          เมื่อกลับมาถึงนิชิโยกะ สถานการณ์กลับบีบคั้นเขามากกว่าเดิมเพราะทุกคนในบ้านและในตำบลคาดหวังความสำเร็จจากซาบูโร่สูงมาก แต่เมื่อปรากฏว่าเขาต้องกลับบ้านเพราะเกเรจนถูกไล่ออกจากโรงเรียน ซาบูโร่กลับกลายเป็นบุคคลที่สังคมรังเกียจ ซาบูโร่รู้สึกได้ทันทีว่าเขาคงไม่สามารถอยู่ในหมู่บ้านได้อีกต่อไปและคงต้องหนีไปอยู่ให้ไกล ๆ เขาจึงตัดสินใจสมัครเข้าเป็นทหารเรือที่ฐานทัพเรือซาเซโบในนางาซากิเมื่อปี 1933 (2476) ขณะที่มีอายุ 16 ปี ซึ่งฐานทัพเรือแห่งนี้เป็นที่ตั้งของกองเรือภาคที่ 3 ของจักรพรรดินาวีมาตั้งแต่ปี 1889 (2432) และอยู่ห่างจากนิชิโยกะประมาณ 90 กิโลเมตร ซึ่งนับว่าไกลมากในสมัยที่การคมนาคมยังไม่เจริญเช่นในปัจจุบัน




เรือประจัญบานคิริชิมา

          หลังจากฝึกลักษณะทหารอย่างเข้มงวดและรุนแรงตามแบบญี่ปุ่นอยู่ที่ซาเซโบได้ 6 เดือน จักรพรรดินาวีได้บรรจุพลทหารซาบูโร่เป็นพลปืนประจำเรือประจัญบานคิริชิมา ขนาด 32,156 ตัน ซึ่งประจำการมาตั้งแต่ปี 1915 (2458) ต่อมา ในปี 1935 (2478) ซาบูโร่สอบเข้าเรียนในโรงเรียนปืนใหญ่ทหารเรือได้ และเมื่อจบการศึกษา จักรพรรดินาวีได้เลื่อนยศซาบูโร่เป็นจ่าตรีและส่งเขาไปเป็นพลปืนประจำเรือประจัญบานฮารูนะ ขนาด 32,000 ตัน ซึ่งประจำการมาในปีเดียวกันกับเรือประจัญบานคิริชิมา และติดปืนใหญ่ขนาด 16 นิ้ว ซึ่งนับว่าใหญ่มากในเวลานั้น รองลงมาจากปืนเรือขนาด 18 นิ้วของเรือยามาโต้

 เรือประจัญบานฮารูนะ

          หลังจากทำงานยิงปืนใหญ่ 16 นิ้วได้ 2 ปี ในปี 1936 (2479) จักรพรรดินาวีได้ประกาศสอบคัดเลือกเพื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนการบินนาวี ที่ซูชิอูระ จังหวัดอิบารากิเพื่อปฏิบัติหน้าที่นักบินนาวีเมื่อสำเร็จการศึกษา การสอบคัดเลือกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่หนึ่ง นายทหารชั้นสัญญาบัตรที่จบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ ที่อิตาจิม่า กลุ่มที่สอง นายทหารชั้นประทวนประจำเรือ และกลุ่มที่สาม ผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา  ซาบูโร่ไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมการสอบแข่งขันในกลุ่มที่สองด้วยเพราะการเป็นนักบินนาวีในสมัยนั้นเป็นอาชีพที่มีเกียรติอย่างมาก จึงเป็นโอกาสที่เขาจะกู้ชื่อเสียงที่เคยด่างพร้อยเมื่อถูกไล่ออกจากโรงเรียนได้ กลุ่มที่สองนี้มีผู้สมัครถึง 1,500 คน แต่ผ่านการทดสอบเพียง 70 คนเท่านั้น ซึ่งซาบูโร่เป็นผู้หนึ่งที่ผ่านการทดสอบด้วย เมื่อเขาจดหมายแจ้งให้แม่ทราบข่าว ซาบูโร่ได้กลับกลายเป็นฮีโร่ของครอบครัวและตำบลนิชิโยกะอีกครั้งหนึ่ง ปมด้อยของเขาถูกลบล้างไปแล้ว


          เมื่อสำเร็จเป็นนักบินในปี 1937 (2480) เขาได้รับพระราชทานนาฬิกาพกเรือนเงินจากสมเด็จพระจักรพรรดิเนื่องจากจบการศึกษาด้วยคะแนนสูงสุด หลังจากนั้น จักรพรรดินาวีมีคำสั่งให้ซาบูโร่ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ฝูงบินที่ 12 กองบินนาวีประจำเกาะฟอร์โมซา (ไต้หวัน) ซึ่งอยู่ในความยึดครองของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 1895 (2428) โดยมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่เกาสง เมืองท่าทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฟอร์โมซา เมื่อเกิดสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นในปี 1938 (2481) จักรพรรดินาวีได้มีคำสั่งให้กองบินนาวีประจำการด้วยมิตซูบิชิ A5M ไปปฏิบัติหน้าที่ครองอากาศในการยึดพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน

นักบินกองบินนาวีประจำเกาะฟอร์โมซา
ซาบูโร่ ซาไก แถวกลางคนที่สองจากซ้ายมือ

          ซาบูโร่ได้ทำการรบทางอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1938 หลังจากที่ขบวนบินของเขาถูกโจมตีโดยฝูงบินโปลิคาป๊อฟ I-16s ขับโดยนักบินจีน การปะทะครั้งนั้นไม่น่าจดจำเท่าใดนักสำหรับซาบูโร่ เพราะระบบการสื่อสารสับสนทำให้เขาแตกฝูงไปโจมตีข้าศึกคนเดียว แม้เขาจะยิงเจ้าลาน้อยไฟไหม้ไปหนึ่งลำ แต่ตัวเขาเองก็เกือบถูกยิงตก ซาบูโร่จึงถูกผู้บังคับฝูงตำหนิอย่างหนักเพราะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งระหว่างการรบ

 มิตซูบิชิ A5M

          ในปี 1939 (2482) ซาบูโร่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่เพราะการรบทางอากาศ หากแต่เกิดจากการที่กองทัพอากาศจีนส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดฐานบินของเขาจนได้รับความเสียหายยับเยิน ซาบูโร่จึงถูกส่งตัวกลับไปพักฟื้นที่บ้าน หลังจากหายดีจึงกลับไปประจำที่ฟอร์โมซาเช่นเดิม ต้นปี 1941 (2484) เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นจ่าเอกและกองบินนาวีจากฟอร์โมซาได้รับ มิตซูบิชิ A6M2 “ซีโร่ เข้าประจำการแทน มิตซูบิชิ A5M และในปลายปี 1941 นี้เอง ซาบูโร่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในหน้าแรก ๆ ของสงครามในแปซิกฟิกด้วย โดยก่อนที่กองเรือแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิจะเข้าโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 นั้น กองบินนาวีจากฟอร์โมซาได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมในการบินไป-กลับฟอร์โมซา-ฟิลิปปินส์ ระยะทาง 1,200 ไมล์ เพื่อปฏิบัติการโจมตีฐานทัพอากาศคล๊ากในฟิลิปปินส์


มิตซูบิชิ A6M2 “ซีโร่

          หลังจากที่กองเรือหลักจัดการเพิร์ลฮาร์เบอร์ได้แล้ว จักรพรรดินาวีได้มีคำสั่งให้กองบินนาวีจากฟอร์โมซาปฏิบัติการโจมตีฐานทัพอากาศคล๊ากในวันที่ 8 ธันวาคม ผู้บัญชาการกองบินได้จัดให้ซีโร่ 45 ลำ ให้การคุ้มกันฝูงบินทิ้งระเบิด มิตซูบิชิ G4M3 เบ็ตตี้ ในการปฏิบัติการดังกล่าว โดยซาบูโร่ได้เข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย และสามารถยิง Curtis P-40 ตกหนึ่งเครื่อง และยิง B-17 บนพื้นได้อีก 2 เครื่อง ต่อมาอีก 2 วัน เขายิง North American B-17 ซึ่งบินโดยร้อยเอกโคลิน พี เคลลี่ จูเนียร์ ตกอีกหนึ่งเครื่อง ซึ่งถือว่าเป็น B-17 เครื่องแรกที่ถูกยิงตกในสงครามมหาเอเชียบูรพา
 
          ต้นปี 1942 (2485) จักรพรรดินาวีได้มีคำสั่งให้ซาบูโร่ย้ายไปประจำกองบินนาวีที่ทาราคานในบอร์เนียวเพื่อครองน่านฟ้าอินโดนีเซีย เขายิงเครื่องบินข้าศึกตกอีก 11 เครื่อง ก่อนที่จะป่วยเป็นไข้ป่าจนต้องงดบินชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือน เมื่อหายดีแล้ว เขาได้รับคำสั่งในเดือนเมษายนให้ไปประจำกองบินนาวีที่เลย์ (Lae) ในนิวกีนีภายใต้การบังคับบัญชาของเรือโท จุนนิชิ ซาซาอิ สนามบินที่เลย์นี้ญี่ปุ่นสร้างแอบอยู่ในป่าและห่างจากสนามบินของพันธมิตรเพียง 180 ไมล์เท่านั้น สภาพมันย่ำแย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยทีเดียว ซาบูโร่เล่าถึงสนามบินชั่วคราวแห่งนี้

       
              ในวันที่ 11 เมษายน เรือโท ซาซาอิ นำหมู่บินออกลาดตระเวนทะเลคอรัลตามปกติ แต่เที่ยวกลับขณะบินผ่านพอร์ท มอส์บี้ (Port Moresby) เมืองหลวงของนิวกีนีซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ ห่างจากเลย์ประมาณ 300 ไมล์ นั้น ฝูงบินนาวีญี่ปุ่นสังเกตเห็นฝูงบิน P-39 แอร์คอบราของอเมริกัน 4 ลำอยู่ใกล้ ๆ จึงโฉบเข้าไปโจมตีโดยที่เหยื่อทั้ง 4 ราย ไม่ทันระวังตัว ซาบูโร่จัดการแอร์คอบราลงได้ 2 ลำ ส่วนฮิโรโยชิ นิชิซาว่า เสืออากาศหมายเลขหนึ่งของจักรพรรดินาวี กับโตชิโอะ โอตะ เสืออากาศอีกคนหนึ่งของจักรพรรดินาวีจัดการได้คนละลำด้วยการเข้าโจมตีเพียงครั้งเดียว จากผลงานอันยอดเยี่ยมนี้ ผู้บังคับฝูงจึงมักจัดนิชิซาว่า โอตะ และซาบูโร่ออกปฏิบัติการร่วมกันเสมอและสร้างผลงานอันโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ในวันที่ 23 เมษายน นิชิซาว่า โอตะ และซาบูโร่ กับซีโร่อีก 5 ลำ ออกปฏิบัติการลาดตระเวณตามปกติ ได้พบกับฝูง P-39 และ P-40 รวม 13 ลำ ที่ความสูง 18,000 ฟิต เหนือพอร์ท มอส์บี้  ซาบูโร่ นิชิซาว่า และโอตะพาพวกที่น้อยกว่าเข้าห้ำหั่นกับฝูงบินอเมริกันอย่างห้าวหาญ และส่งเครื่องบินอเมริกันไปกองอยู่บนพื้นดินได้ 8 ลำ โดยซาบูโร่เพิ่มสถิติให้ตัวเองได้ 2 เครื่องในการโจมตีครั้งนั้น ความสามารถของซาบูโร่ นิชิซาว่า และโอตะ ทำให้เพื่อน ๆ ถึงกับให้ขนานนามพวกเขาว่า สามภารโรง

                         
        รุ่งสางของวันที่ 15 พฤษภาคม สนามบินเลย์ที่เละเทะอยู่แล้วกลับเละเทะหนักกว่าเดิมเพราะพันธมิตรเพิ่งส่ง B-25 มิตเชล มาทิ้งระเบิด ขณะนั้นสามภารโรงอยู่ในห้องวิทยุและกำลังฟังเพลงจากสถานีวิทยุออสเตรเลียฆ่าเวลา นิชิซาว่าเกิดอารมณ์สุนทรีย์ขึ้นมาและเสนอไอเดียให้คู่หูทั้งสองฟังว่า ในการออกปฏิบัติการโจมตีพอร์ท มอส์บี้ เป็นการเอาคืนในวันมะรืนนี้ สามภารโรงควรบินผาดแผลงเหนือสนามบินของข้าศึกด้วย แต่ต้องปิดไม่ให้เรือโท ซาซาอิ ผู้เคร่งครัดรู้ หาไม่แล้วอาจถูกลงโทษได้  ดังนั้น หลังจากจบภารกิจโจมตีพอร์ท มอส์บี้ ในวันที่ 17 ซึ่งซาบูโร่จัดการแอร์คอบราลงได้ 2 ลำ และแน่ใจว่าไม่มีเครื่องบินข้าศึกอยู่ในพื้นที่แล้ว ทีมสามภารโรงได้ เปิดการแสดง การบินวงกลมตั้งชิดกันเหนือสนามบินข้าศึก 3 วงซ้อน หลังจบรอบแรก สามภารโรงยังมันส์ในอารมณ์อยู่จึงแถมให้ข้าศึกชมอีก 3 รอบ แล้วจึงบินกลับเลย์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ต่อมาตอนสามทุ่มคืนนั้นเอง นักบินอเมริกันคนหนึ่งลงทุนบินฝ่าความมืดและฝูงบินซีโร่มาทิ้ง สาร ที่สนามบินเลย์ แสดงความขอบคุณและยกย่อง นักบินสามคนที่ผูกผ้าพันคอสีเขียว ที่ไป แสดงการบินผาดแผลงอันยอดเยี่ยมและสวยงาม ให้พวกเขาชม และหากเป็นไปได้ จะขอความอนุเคราะห์อีกสักรอบหนึ่งในวันพรุ่งนี้ เรือโท ซาซาอิ จึงเรียกตัวสามภารโรงไป อบรม เป็นการด่วนและห้ามไม่ให้พวกเขาทำเรื่อง ห่าม ๆ แบบนี้อีก

   
                          Bell P-39 Air Cobra                                  

          ต้นเดือนสิงหาคม 1942 กองบินนาวีจากฟอร์โมซาได้รับคำสั่งให้ย้ายไปประจำสนามบินสนามที่ราบวล (Rabaul) บนเกาะนิว บริเทน (New Britain) ทางตะวันออกของนิวกีนี และเป็นช่วงที่กองพลนาวิกโยธินที่ 7 ของสหรัฐฯยกพลขึ้นบกเพื่อรุกโต้ตอบที่เกาะกัวดาลคะแนล (Guadalcanal) และเกาะทูลากิ (Tulagi) ทางตอนใต้ของหมู่เกาะโซโลมอน ซาบูโร่และเหล่านักบินของกองบินนาวีจากฟอร์โมซาต้องบินจากราบวลไกลถึง 550 ไมล์เพื่อไปสกัดกั้นการโจมตีทางอากาศของฝูงบินนาวีอเมริกันที่ขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบินมาสนับสนุนการรุกโต้ตอบของบรรดาคอหนัง แต่ระยะทาง 550 ไมล์นั้นถือว่าไกลเกินกว่าระยะทำการปกติในการปฏิบัติการของซีโร่

                                      Grumman F4 Wildcat                              

          ที่นี่ซาบูโร่พบว่านักบินนาวีอเมริกันมีความสามารถทางการบินสูงและห้าวกว่านักบินทหารบกอเมริกันที่เขาเคยประมือด้วยเป็นอย่างมาก ทั้งเครื่องบินก็ดูจะมีสมรรถนะดีกว่า และการรบที่กัวดาลคะแนลในวันที่ 8 สิงหาคม 1942 นี่เองที่ทำให้นักบินอเมริกันมอบสมญานามให้เขา โดยในวันนั้นเขากับเพื่อนอีก 17 คน ได้รับคำสั่งให้ไปโจมตีกัวดาลคะแนล และในยุทธบริเวณเขาจัดการ Grumman F4F Wildcat ได้แล้ว 2 ลำก่อนไปดวลกับ Grumman F4F Wildcat ของเรือโท เจมส์ ซุทเทอร์แลนด์ (James J Southerland) จากเรือบรรทุกเครื่องบินซาราโตกา (USS Saratoga) เป็นลำที่สาม หลังจากขับเคี่ยวกันได้พักใหญ่ เขาก็พลาดถูกซุทเทอร์แลนด์ยิงจนเลือดออกท่วมชุดบิน เขาคิดจะบินกลับฐาน แต่เมื่อเห็นนักบินอเมริกันหน้ากลม ๆ ซึ่งแก่กว่าเขาสัก 8 ปีผู้นั้นยิ้มให้ขณะบินสวนกัน ซาบูโร่จึงคิดจะเอาคืนบ้าง เขาเลี้ยววงแคบตามแมวป่าลำนั้นไปติด ๆ แล้วยิงไปชุดหนึ่งถูกจนไฟไหม้ เมื่อมองเห็นซุทเทอร์แลนด์กระโดดร่มหนีออกมาได้เขารู้สึกโล่งอกที่นักบินฝีมือดีผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ เขาจึงเลี้ยวกลับไปจั่วกับ SDB-3 Dauntless บินโดยเรือโท ดัดลีย์ อดัมส์ จากเรือบรรทุกเครื่องบินวอฟส์ (USS Wasp) จนตกไปอีกหนึ่งลำ แล้วจึงพาซีโร่คู่ชีพที่มีน้ำมันเหลืออยู่น้อยเต็มทีรวมทั้งลูกฝูงที่เหลือกลับฐานบินที่ราบวล  จากฝีมือบินฉกาจฉกรรจ์นี้เองทำให้นักบินนาวีอเมริกันเรียกนักบินซีโร่เครื่องนี้ว่าเจ้า ซามูไร


          ขากลับนี้เอง ซาบูโร่กับฝูงบินญี่ปุ่นที่เหลือต้องเผชิญหน้ากับฝูง SDB จากเรือบรรทุกเครื่องบินเอ็นเทอร์ไพรซ์ (USS Enterprise) แทนที่จะหนีเพราะเหนื่อยล้าจากการบินทางไกล ความเคร่งเครียดในการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมา น้ำมันก็ใกล้จะหมดและอาวุธก็เหลือน้อย นักบินนาวีผู้ห้าวหาญแห่งกองทัพเรือสมเด็จพระจักรพรรดิกลับบ่ายหน้าเข้าหาฝูงบิน SDB นั้นโดยไม่รอช้า ซาบูโร่ยิง SDB ตกไป 3 ลำ แต่เมื่อตามลำที่สี่ไป พลปืนหลังของ SDB ลำนั้น และลำอื่นที่อยู่ในขบวนบินได้ต้อนรับเขาอย่างดุเดือดด้วยปืนหลังขนาด .30 คาลิเบอร์ 16 กระบอก เครื่องบินของเขาถูกกระสุนปืนจนปรุและนัดหนึ่งโดนเขาที่หัวจนทำให้เขาช๊อคไปชั่วขณะและตาพร่าเลือนจนมองอะไรแทบไม่เห็น ซาบูโร่จึงดึงเครื่องออกจากสมรภูมิทันทีและบินกลับฐานด้วยสภาพที่โชกเลือดและกับตาซ้ายที่มองเห็นเพียงข้างเดียว และเขาต้องนำผ้าพันคอมาพันแผลเพื่อห้ามเลือดขณะบินกลับฐาน

                                                     สภาพที่ดูไม่จืดของซาไก

           ซาบูโร่ใช้เวลาบินกลับราบวลนานถึง 4 ชั่วโมง 47 นาที เมื่อช่างเครื่องไปถึงก็พบว่าเครื่องบินเป็นรูพรุนราวกับคนออกหัดและน้ำมันหมดเกลี้ยงถัง ส่วนนักบินสลบอยู่ในห้องนักบินโดยมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะ อก ขา และแขน จนต้องหามลงจากเครื่องบิน และถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลทหารเรือทันที เมื่อหมอเห็นสภาพของเขาในครั้งแรกก็วินิจฉัยเบื้องต้นว่าเขาคงไม่มีทางกลับมาบินได้อีกแน่นอน ซาบูโร่ถูกนำไปผ่าตัดทันที หลังจากการผ่าตัดเขาถูกส่งตัวกลับญี่ปุ่นเพื่อพักฟื้น คณะสามภารโรงอันโด่งดังมาตั้งแต่เลย์จึงสลายตัวลงโดยปริยายนับแต่นั้นมา

          เมื่อกลับมาญี่ปุ่น ซาบูโร่ผู้เข้มแข็งใช้เวลาเพียง 5 เดือน ในการฟื้นฟูสมรรถภาพจนหายดีจนทำให้บรรดาหมอที่เคยฟันธงว่าเขาคงไม่มีทางกลับมาบินได้อีกแน่นอนต้องหน้าแตกไปตาม ๆ กัน เมื่อเขากลับไปรายงานตัวเข้าปฏิบัติหน้าที่ตอนต้นปี 1943 (2486) จักรพรรดินาวีได้ส่งตัวเขาไปเป็นครูฝึกนักบินใหม่ที่โรงเรียนการบินเป็นเวลา 1 ปี และในเดือนเมษายน 1944 (2487) จักรพรรดินาวีจึงมีคำสั่งให้เขาไปประจำกองบินโยโกซูกะเพื่อปฏิบัติการในอิโวจิมาในช่วงท้ายของสงคราม แต่ปัญหาทางสายตาทำให้เขาไม่สามารถล่าเหยื่อได้เหมือนอย่างเคย ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าเขากลายเป็นเสือสิ้นลายโดยสิ้นเชิง โดยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน เจ้าซามูไรได้แสดงให้เห็นฝีมือการบินชั้นครูให้นักบินนาวีอเมริกันชมอีกครั้งเมื่อเขาสามารถนำซีโร่คู่ชีพหลุดรอดจากการรุมกินโต๊ะของอุปกรณ์ใหม่ล่าสุดของอเมริกัน F6F Hellcat จำนวน 15 ลำ ได้โดยข้าศึกไม่สามารถฝากรอยกระสุนปืนไว้ที่เครื่องบินของเขาได้แม้แต่รูเดียวทั้งที่ถูกรุมอยู่นานถึง 20 นาที 

          ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามในวันที่ 15 สิงหาคม 1945 (2488) แต่สงครามเวหาของซาบูโร่กลับยุติลงหลังจากนั้น 2 วัน โดยเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม เวลาประมาณ 11.30 น. กองบินของเขาได้รับสัญญาณเตือนการรุกรานทางอากาศ เขาได้รับคำสั่งให้บินขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง ซาบูโร่ยิง Convair B-32 Dominator ตกเป็นลำสุดท้ายเหนืออ่าวโตเกียว แต่การโจมตีของเขาในครั้งนี้ไม่ถือเป็นการผิดกฎสงครามเนื่องจากการอเมริกันมิได้แจ้งก่อนว่าจะส่ง เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนัก ฝูงนั้นมาปฏิบัติหน้าที่ ลาดตระเวน


  Convair B-32 Dominator

          ในระหว่างสงคราม ซาบูโร่ ซาไก ทำสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตก 64 เครื่อง ในการออกปฏิบัติการกว่า 200 เที่ยวบิน เขาเป็นเพชฌฆาตตัวจริงรองลงมาจากเพื่อสนิทของเขาฮิโรโยชิ นิชิซาว่า และโตชิโอะ โอตะ แต่นับจากวันที่เขาลงจากซีโร่ประจำตัวในวันที่ 17 สิงหาคม 1945 แล้ว ยอดเพชฌฆาตผู้นี้กลับกลายพุทธศาสนิกชนที่ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตใด ๆ อีกเลยแม้กระทั่งยุง เขาได้รับเชิญให้เดินทางไปสหรัฐฯหลายครั้งเพื่อพบปะกับนักบินอเมริกันซึ่งครั้งหนึ่งเคยขับเคี่ยวกันมาอย่างโชกโชน และกลายมาเป็นเพื่อกันในท้ายที่สุด
  
          เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2000 (2543) ซาบูโร่ ซาไก ที่มีอายุ 84 ปี ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่เพื่อนทหารอเมริกันจัดขึ้นที่ฐานทัพในอัตซูกิ หลังจากดื่มหนัก เขาถูกนำส่งโรงพยาบาล เมื่อพบแพทย์ ซาบูโร่ถามแพทย์ว่าจะให้เขานอนได้หรือยัง เมื่อแพทย์อนุญาต เขาจึงหลับตาลงและหลับใหลไปตลอดกาล......




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น