วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

“นักล่ารถถัง” ฮาน-อูริช รูเดิ้ล (Hans-Ulrich Rudel)

ปกรณ์ นิลประพันธ์

                  หลักการสงครามที่เป็นที่ยอมรับกันเป็นสากลประการหนึ่งนั้นถือว่า หากฝ่ายใดมีอำนาจการยิงที่รุนแรงและแม่นยำกว่า ฝ่ายนั้นย่อมมีโอกาสที่จะได้รับชัยชนะมากกว่า เมื่อฝ่ายเสนาธิการของเยอรมันประยุกต์หลักการสงครามดังกล่าวเข้ากับบทเรียนที่ได้รับในมหาโลกครั้งที่หนึ่งอันเป็นการรบในสนามเพลาะ ซึ่งทำให้การเคลื่อนย้ายปืนใหญ่อันเป็นราชาแห่งสนามรบจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งทางยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มอำนาจการยิงและเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการของทหารราบถูกขัดขวางโดยอุปสรรคทางธรรมชาติ จึงเกิดแนวคิดที่จะทำ ปืนใหญ่บินได้ ขึ้นมาเพื่อขจัดอุปสรรคที่ว่านี้  นอกจากนี้ ปืนใหญ่บินได้ยังสามารถใช้เป็นหัวหอกในการบุกทะลวงในสงครามแบบสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) อันเป็นหลักนิยมของฝ่ายเสนาธิการเยอรมันในเวลานั้นได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง เฮอร์มาน เกอริ่ง มือขวาของฮิตเล่อร์ จึงยื่นข้อเสนอให้เอินส์ท อูเด็ต (Ernst Udet) หนึ่งในยอดนักบินสมัยมหาสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งสนใจแทคติคปืนใหญ่บินได้เช่นกัน ให้เข้ามาร่วมพรรคนาซีและรับผิดชอบการพัฒนาเครื่องบินสำหรับแทคติคที่ว่า และได้สั่งซื้อเคอร์ติส ฮอว์ค ของสหรัฐมาให้อูเด็ตใช้ศึกษาเพื่อเป็นต้นเแบบในการพัฒนา

เอินส์ท อูเด็ต

                   อูเด็ตกับบริษัทการบินชั้นยอดของเยอรมันหลายบริษัทได้พัฒนาเครื่องบินขึ้นมาหลายแบบ แต่แบบที่เขากับทีมเห็นว่าเหมาะสมที่สุด คือ เครื่องบินแบบที่ 87 ของยุงเคอร์ แบบ สตูก้าอัมฟลุคซอย (Sturzkampfflugzeung) ที่แปลว่าเครื่องบินดำลงโจมตี หรือที่รู้จักกันทั่วโลกว่า สตูก้า (Junkers Ju-87 Stuka)


Junkers Ju-87 Stuka

                   เหตุที่ทำให้สตูก้าเป็นที่หวาดหวั่นของข้าศึกเนื่องจากมันติดไซเร็นที่ใช้แรงลม หรือที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกกันเล่น ๆ ว่า ทรัมเป็ตของเจริโค่” (Trumpets of Jericho) อันเป็นเพลงดังในยุคนั้นไว้ที่ฐานล้อที่พับไม่ได้ของมัน ทั้งยังติดนกหวีดไว้ที่ลูกระเบิดด้วย การดำลงมาโจมตีทิ้งระเบิดของสตูก้าจึงมาพร้อมกับเสียงครวญครางที่โหยหวนและน่าหวาดหวั่น ราวกับเสียงพญามัจจุราชมาทวงชีวิต ซึ่งเดิมทีมพัฒนาทดลองติดไซเร็นดังกล่าวไว้เล่น ๆ แต่ฝ่ายเสนาธิการกลับเห็นว่าไซเร็นและนกหวีดมีคุณค่ามากกว่าของเล่น เพราะเสียงที่โหยหวนช่วยทำลายขวัญของข้าศึกไปพร้อม ๆ กับการทำลายทางกายภาพ ทั้งไซเร็นและนกหวีดจึงกลายมาเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากของสตูก้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

             
                                            Stuka ขณะดำลงทิ้งระเบิด                                  



  เทคนิคการดำลงทิ้งระเบิด

                   สำหรับเทคนิคที่นักบินสตูก้าใช้ในการปฏิบัติการนั้น นักบินต้องบินอยู่เหนือเป้าหมายที่ความสูง 15,000 ฟุต เปิดไซเร็น หลังจากนั้นก็ปักหัวดำลงที่มุม 60-90 องศา ด้วยความเร็ว 350 ไมล์ต่อชั่วโมง (600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เมื่อลงมาถึงระยะ 2,000 ฟุต ก็ปลดระเบิด ซึ่งการปลดระเบิดดังกล่าวจะเป็นการเริ่มกลไกบังคับให้เครื่องบินเชิดหัวขึ้นเพื่อบินระดับโดยอัตโนมัติ โดยกลไกดังกล่าวเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของสตูก้าเพื่อมิให้เกิดการสูญเสียกรณีนักบินหมดสติ เพราะด้วยท่าบินดังกล่าวนักบินต้องรับภารกรรมถึง 4-6 จี ทีเดียว


Ju-87 G-1 “Kanonenvogel”

                   ในปี 1943 ลุฟท์วาฟเฟ่ได้พัฒนาสตูก้าขึ้นเพื่อรองรับภารกิจทำลายรถถังซึ่งเป็นภารกิจสำคัญในแนวรบด้านตะวันออก โดยเพิ่มเกราะให้หนาขึ้นและติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 30 มิลลิเมตร จำนวน 2 กระบอกไว้ใต้ปีกด้วย และสตูก้าแบบนี้เองที่กลายเป็น คาโนเน่นโฟลเก้ล (Kanonenvogel) หรือ ปืนใหญ่บินได้ อย่างแท้จริง



ห้องนักบิน

                   สำหรับนักบินสตูก้าที่โด่งดังที่สุดนั้นไม่มีใครเกิน ฮาน-อูลริช รูเดิ้ล (Hans-Ulrich Rudel) เพราะเมื่อใดที่เสียงทรัมเป็ตของเจริโค่ประจำเครื่องของเขาดังขึ้น นั่นหมายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่กองทัพแดงอย่างเหลือคณานับ สตาลินถึงกับโมโหนักบินสตูก้าผู้นี้จนหนวดกระดิกและตั้งค่าหัวของเขาไว้ถึง 100,000 รูเบิ้ล ไม่ว่าเป็นหรือตาย แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสามารถขึ้นเงินกับสตาลินได้เลย แม้ว่ารูเดิ้ลจะถูกยิงตกถึง 32 ครั้ง ด้วยกัน


Hans-Ulrich Rudel

                   นักบินซึ่งไม่เคยลากลับบ้านเลยตลอดระยะเวลาที่ออกปฏิบัติการผู้นี้เกิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1916 ที่เมืองคอนราดวอลเดา (Konradwaldau) แคว้นไซเลเซีย (Silesia) ดินแดนที่เป็นไข่แดงระหว่าง 3 ประเทศ (เยอรมัน โปแลนด์ และสาธารณรัฐเชค) ซึ่งพระเจ้าเฟรเดอริคมหาราชผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรปรัสเซียตั้งแต่ปี 1742 (หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไซเลเซียถูกผนวกเข้ากับโปแลนด์จนปัจจุบัน) บุตรชายของนักบวชผู้เคร่งศาสนานี้แม้จะเรียนหนังสือไม่ค่อยเก่งนักซึ่งแตกต่างจากบรรดายอดนักบินของเยอรมันอื่น ๆ แต่เขามีเลือดอารยันแท้และรักชาติเข้มข้นไม่แพ้ใคร เมื่อเป็นวัยรุ่นก็บังเอิญว่าพรรคนาซีของฮิตเล่อร์ขึ้นครองอำนาจพอดี เด็กหนุ่มรูเดิ้ลซึ่งเป็นนักกีฬาจึงถูกครอบงำโดยลัทธิชาตินิยมของฮิตเล่อร์ไปโดยปริยาย

                   ในปี 1936 ขณะมีอายุ 20 ปี รูเดิ้ลได้รับคัดเลือกให้เข้าเป็นฟาห์เน่นยุงเคอร์ (Fahnenjunker) หรือนักเรียนนายร้อยในส่วนของลุฟท์วาฟเฟ่เนื่องจากทักษะทางการกีฬาที่โดดเด่น และเข้ารับการฝึกบินในปีต่อมา รูเดิ้ลมีความสามารถทางการบินในระดับดี แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบเอาชนะและมีทัศนะที่แตกต่างจากเพื่อนนักเรียนนายร้อยด้วยกันเป็นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่เลือกที่จะเป็นนักบินขับไล่ ขณะที่เขาเห็นว่าการเป็นนักบินโจมตี โดยเฉพาะนักบินดำทิ้งระเบิด เป็นสายงานที่ท้าทายความสามารถมากกว่า เพราะนอกจากต้องดำดิ่งลงไป 60-90 องศาเพื่อทิ้งระเบิดแล้วดึงเครื่องขึ้นทันทีแล้ว ยังต้องคอยหลบกระสุนจากภาคพื้นดินด้วย จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าเหตุใดเขาจึงสมัครเข้ารับการทดสอบเพื่อฝึกเป็นนักบินดำทิ้งระเบิดประจำสตูก้าซึ่งเป็นเครื่องบินดำทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ล่าสุดของลุฟท์วาฟเฟ่ในทันทีที่จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย และถูกส่งไปทดสอบที่เมืองกราซ (Graz) ในออสเตรียเมื่อเดือนมิถุนายน 1938 แต่ปรากฏว่าเขาสอบไม่ผ่าน ลุฟท์วาฟเฟ่จึงส่งเขาไปฝึกบินลาดตระเวนระยะไกลแทน แต่ก็ไม่ตัดสิทธิเขาที่จะสมัครมาเข้ารับการทดสอบเป็นนักบินสตูก้าใหม่ และเมื่อจบการฝึก ลุฟท์วาฟเฟ่มีคำสั่งให้เรืออากาศโท ฮาน อูลริช รูเดิ้ล ไปปฏิบัติหน้าที่บินลาดตระเวนระยะไกลตลอดช่วงการบุกโปแลนด์ในปี 1939 และเขาได้รับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 1939


ฝูงบินสตูก้าขณะออกปฏิบัติการ

                   การโจมตีแบบสายฟ้าแลบต่อโปแลนด์แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของสตูก้าได้เป็นอย่างดีและยิ่งเร่งเร้าให้เรืออากาศโท รูเดิ้ล อยากไปขับสตูก้ามากยิ่งขึ้น จนต้องยื่นใบสมัครเข้ารับการฝึกบินกับสตูก้าอีกคำรบหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ 1940 คราวนี้เขาผ่านการทดสอบไปได้ และเข้ารับการฝึกบินกับสตูก้าในเดือนพฤษภาคม 1940 เมื่อจบหลักสูตรและกลายเป็นนักบินสตูก้าเต็มตัว ลุฟท์วาฟเฟ่เลื่อนยศเขาเป็นเรืออากาศเอก และมีคำสั่งให้เขาปฏิบัติหน้าที่นักบินดำทิ้งระเบิดประจำหน่วยบินดำทิ้งระเบิดที่ 1 กองบินสตูก้าโจมตีภาคพื้นดินที่ 168 (Stukaverband I./Sturzkampfgeschwader 168) มีฐานปฏิบัติการที่เมืองคานส์ (Caen) ประเทศฝรั่งเศส และปฏิบัติหน้าที่ตลอดช่วงการบุกฝรั่งเศส แต่งานหลักของเขากลับเป็นการทำลายอาคารและสะพานยุทธศาสตร์ มิได้เข้าร่วมปฏิบัติการในยุทธบริเวณ

                   ในเดือนเมษายน 1941 ลุฟท์วาฟเฟ่มีคำสั่งย้ายรูเดิ้ลไปเป็นนักบินประจำฝูงบิน 1 กองบินสตูก้าโจมตีภาคพื้นดินที่ 2 (I Staffel/Sturzkampfgeschwader 2 “Immelmann”) ภายใต้การบังคับบัญชาของนาวาอากาศเอก ออสการ์ ดินอท (Oskar Dinort) และเข้าร่วมปฏิบัติการยึดเกาะครีต (Crete) ประเทศกรีซในเดือนพฤษภาคม 1941 แต่ที่กรีซนี้ รูเดิ้ลก็ยังไม่ได้เข้าร่วมปฏิบัติการในยุทธบริเวณแต่อย่างใด


สัญลักษณ์กองบินสตูก้าโจมตีภาคพื้นดินที่ 2 อิมเมลมาน

                   เมื่อฮิตเล่อร์กำหนดแผนยุทธการบาบารอสซ่า (Operation Barbarossa) ในการเข้าตีรัสเซียเพื่อครอบครองทรัพยากรน้ำมัน ฝ่ายเสนาธิการจึงหยิบหลักนิยมสงครามสายฟ้าแลบมาปัดฝุ่นใช้อีกครั้งหนึ่ง และเพื่อให้การโจมตีสมบูรณ์แบบจึงกำหนดให้ลุฟท์วาฟเฟ่โจมตีเพื่อทำลายสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ตลอดจนเครื่องบินของรัสเซียให้เรียบก่อนที่กองทัพบกจะเข้ายึดพื้นที่  ดังนั้น ลุฟท์วาฟเฟ่จึงมีคำสั่งให้กองบินสตูก้าโจมตีภาคพื้นดินที่ 2 ย้ายจากกรีซที่มีภารกิจน้อยมาเตรียมปฏิบัติการในแนวรบด้านตะวันออกแทน และการออกปฏิบัติการตามแผนยุทธการบาบารอสซ่าเมื่อเวลา 3 นาฬิกา ของวันที่ 23 มิถุนายน 1941 ถือเป็นการออกปฏิบัติการดำทิ้งระเบิดในยุทธบริเวณอย่างเป็นทางการเที่ยวแรกของรูเดิ้ล และภายในเวลา 18 ชั่วโมง เขาออกปฏิบัติการถึง 4 เที่ยวด้วยกัน ซึ่งจากการที่เขากระหายที่จะออกรบมานาน รูเดิ้ลได้ออกดำทิ้งระเบิดอย่างห้าวหาญและประสบความสำเร็จอย่างงดงามจนได้รับเหรียญกางเขนเหล็ก ชั้นที่ 1 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม


ฝูงบินสตูก้าขณะออกปฏิบัติการ

                   ผลงานของรูเดิ้ลในสนามรบโดดเด่นมาก และในวันที่ 23 กันยายน ฝูงบินของ  รูเดิ้ลได้รับคำสั่งให้ออกปฏิบัติการชายฝั่งเพื่อทำลายกองเรือบอลติกของกองทัพเรือรัสเซียบริเวณอ่าวครอนสตัท (Kronstadt Harbor) ในเลนินกราด ซึ่งรูเดิ้ลดำทิ้งระเบิดขนาด 1,000 กิโลกรัม ใส่เรือลาดตระเวน มารัต (Marat) ระวางขับน้ำ 23,600 ตัน ลูกระเบิดตกลงบริเวณคลังอาวุธของเรืออย่างแม่นยำจนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง และเรือลาดตระเวนดังกล่าวขาดหายไปครึ่งลำภายในพริบตา  ดังนั้น เมื่อออกปฏิบัติการครบ 500 เที่ยวบิน ในวันที่ 24 ธันวาคม 1941 รูเดิ้ลจึงได้รับการประดับเหรียญกางเขนเหล็กทองคำ (Deutsches Kreuz) จากจอมพลอากาศ โวลฟราม ฟอน ริชโธเฟ่น (Wolfram von Richthofen) ด้วยตนเอง

                   หลังประสบความสำเร็จมากมาย ลุฟท์วาฟเฟ่มีคำสั่งให้รูเดิ้ลไปเป็นครูฝึกเทคนิคการบินดำทิ้งระเบิดในแนวรบตะวันออกแก่นักบินใหม่ของสตูก้าที่เมืองกราซ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่นักบินใหม่ก่อนเข้าร่วมสงคราม และในวันที่ 6 มกราคม 1942 เขาได้รับเหรียญริตเตอร์คร้อยส์ (Ritterkreuz) หรือเหรียญอัศวิน  อย่างไรก็ดี การสอนนักบินใหม่กลับกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายของนักบินหนุ่มเป็นอย่างมาก รูเดิ้ลผู้ชมชอบการออกปฏิบัติการในสนามรบจึงทำเรื่องขออนุญาตกลับไปสู่สนามรบเช่นเดิม เมื่อประกอบกับสถานการณ์สงครามในแนวรบตะวันออกทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที ลุฟท์วาฟเฟ่จึงมีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1942 ให้รูเดิ้ลไปประจำแนวหน้าได้ตามที่ร้องขอ โดยได้ตั้งเขาเป็นผู้บังคับฝูงบินที่ 3 กองบินสตูก้าโจมตีภาคพื้นดินที่ 2 (III Stffel/Sturzkampfgeschwader 2 “Immelmann”) มีพื้นที่รับผิดชอบบริเวณสตาลินกราด และที่นี่เองที่ฝูงบินของเขาได้รับคำสั่งให้ออกไปโจมตีรถถังของกองทัพแดงแทนการทิ้งระเบิดทำลายรถถังแบบปูพรม



Hans-Ulrich Rudel

                   วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1943 เมื่อออกปฏิบัติการครบ 1,000 เที่ยวบิน ลุฟท์วาฟเฟ่มีคำสั่งย้ายรูเดิ้ลมาทำหน้าที่นักบินทดสอบประจำหน่วยบิน แพนเซอร์จั๊กด์คอมมานโด ไว้ซ์ (Panzerjagdkommando Weiss) หรือหน่วยล่ารถถัง (กลุ่มสีขาว) ซึ่งกำลังพัฒนาสตูก้ารุ่น Ju-87 D-3 ขึ้นมาเพื่อทำภารกิจล่ารถถังโดยเฉพาะ โดยติดปืนใหญ่ไรเมตัล-บอซิก ขนาด 37 มิลลิเมตร 3 กระบอก ซึ่งสามารถยิงทะลุเกราะของรถถังของกองทัพแดงได้ง่ายราวกับเอาตะปูจิ้มเข้าไปในก้อนเนยเหลว ในการทดลองบินกับเครื่องต้นแบบที่บริเวณทะเลดำ รูเดิ้ลได้แสดงให้เห็นว่าสตูก้ารุ่นล่ารถถังนี้มีดีเพียงใด โดยเขายิงเป้าทดสอบซึ่งเป็นรถเกราะทุกแบบที่ยึดได้จากรัสเซีย จำนวน 70 คัน กระจุยทุกคัน ในวันที่ 14 เมษายน 1943 เรืออากาศเอก รูเดิ้ล จึงได้รับใบโอ๊คมาประดับเหรียญริตเตอร์คร้อยส์ของเขา หลังจากนั้น ลุฟท์วาฟเฟ่จึงมีคำสั่งให้ทดสอบในสนามรบจริง โดยให้ฝูงบินของรูเดิ้ลซึ่งประกอบด้วยนักล่ารถถัง จำนวน 9 ลำ ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการสนับสนุนกองพลยานเกราะที่ 3 กระโหลกผี (III SS Panzer Division “Totenkopf”) ในการปฏิบัติการซิต้าเดล (Operation Citadel) ในการออกปฏิบัติการเที่ยวแรกของวันแรก เขายิงรถถังของกองทัพแดงระเบิดไป 4 คัน พอตกเย็น เหยื่อของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 12 คัน

                   เขาเล่าถึงความยอดเยี่ยมของปืนใหญ่บินได้แบบ Ju-87 D-3 ในสนามรบจริงกับเหยื่อคันแรกว่า ...พลปืนหลังของผมถึงกับอุทานออกมาว่ามันระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับดอกไม้ไฟ และเศษชิ้นส่วนกระเด็นมาเกือบโดนเราทีเดียว...

                   ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ลุฟท์วาฟเฟ่ไม่รีรอที่จะมีคำสั่งให้ปรับปรุง Ju-87 D-3 ทั้งหมด เป็นนักล่ารถถังเป็นการด่วน และกำหนดหมายเลขรุ่นของเครื่องที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เป็น Ju-87 G-1 เพื่อส่งกลับเข้าประจำแนวรบตะวันออก พร้อมกันนั้น ก็มีคำสั่งให้จัดตั้งฝูงบินล่ารถถัง (Panzerstaffels) ขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยมอบหมายให้รูเดิ้ลพัฒนาเทคนิคการล่ารถถัง ซึ่งรูเดิ้ลพบว่ารถถัง ที-34 ของกองทัพแดง ถูกออกแบบมาให้เป็นนักบู๊แบบเดินหน้าฆ่าให้ตาย จึงห่วงหน้ามากกว่าพะวงหลัง ด้านหน้าของ ที-34 จึงมีเกราะหนา ส่วนด้านหลังเป็นจุดอ่อนเพราะใช้วางเครื่องและระบบระบายความร้อน จึงไม่สามารถติดเกราะป้องกันได้ การยิง ที-34 แบบโป้งเดียวจอดจึงต้องยิงด้านหลัง แต่การ เข้าข้างหลัง เช่นนี้ก็เสี่ยงไม่น้อย เพราะต้องบินข้ามแนวข้าศึกเข้าไปก่อนที่จะวกกลับมาจัดการกับเหยื่อ ซึ่งแน่นอนว่าข้าศึกต้องไม่ลืมเตรียมการต้อนรับสตูก้าอย่างแน่นอน



                   ในฐานะนักล่ารถถังที่ประสบความสำเร็จ รูเดิ้ลได้รับดาบมาประดับริตเตอร์คร้อยส์เพิ่มจากใบโอ๊ค เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 1943 หลังจากนั้น เขาได้ออกปฏิบัติการล่ารถถังแทบทุกวันเนื่องจากรัสเซียเริ่มรุกโต้ตอบอย่างหนักหน่วง เมื่อออกปฏิบัติการครบ 1,500 เที่ยวบิน เมื่อต้นเดือนมีนาคม 1944 ลุฟท์วาฟเฟ่จึงเลื่อนยศเขาเป็นนาวาอากาศตรี แต่ในวันที่ 20 มีนาคม ฝูงบินของรูเดิ้ลที่ได้รับคำสั่งให้ออกไปทิ้งระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำดนีเปอร์ที่จัมโปล (Jumpol) ประมาณ 50 กิโลเมตร หลังแนวข้าศึก ถูกฝูงบินขับไล่ Lavochkin La-5 เข้าโจมตีระหว่างออกปฏิบัติการสนับสนุนภาคพื้นดิน

                   โชคไม่ดีนัก ลูกฝูงหมายเลข 8 ถูกพวกอีวานยิงตก 1 ลำ แต่ลูกเรือไม่ได้รับบาดเจ็บ ผู้บังคับฝูงรูเดิ้ลทราบดีว่าหากลูกเรือสตูก้าถูกพวกรัสเซียจับได้จะต้องถูกทรมานอย่างสาหัส เขาจึงบินลงเพื่อช่วยเหลือลูกน้องอย่างห้าวหาญ แต่เจ้ากรรมที่ดินบริเวณชายฝั่งแม่น้ำนั้นอ่อนเกินไป ทำให้ไม่สามารถบินขึ้นได้ ทั้ง 4 ชีวิตต้องทำลายเครื่องบินทิ้ง แล้วรีบหนีกลับแนว โดยด่านแรกต้องว่ายข้ามแม่น้ำดนีเปอร์ที่ทั้งลึกทั้งกว้าง (ประมาณ 600 เมตร) และหนาวเหน็บก่อน แต่สิบเอกเออร์วิล เฮนท์เชล (Erwin Hentschel) พลปืนหลังของรูเดิ้ลที่ออกปฏิบัติการร่วมเป็นร่วมตายกันมากว่า 1,400 เที่ยวบิน ทนความหนาวเหน็บของแม่น้ำไม่ไหว จมน้ำลงไปก่อนที่จะถึงฝั่ง ส่วนลูกเรืออีก 2 คน ขึ้นฝั่งได้อย่างสะบักสะบอม และหมดแรงไม่สามารถไปต่อได้ จนถูกจับไปโดยทหารรัสเซียเป็นร้อย ๆ คนที่ตามล่าพวกเขาโดยใช้หมาและม้านำทาง เหตุที่พวกอีวานระดมกันมาล่ารูเดิ้ลก็เพราะหวังจะได้เงินค่าหัวของเขาที่สติลินตั้งไว้ถึง 100,00 รูเบิ้ล นั่นเอง ส่วนรูเดิ้ลซึ่งถูกยิงที่ไหล่ขณะถูกตามล่าและต้องเดินเท้าแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ท่ามกลางความหนาวเย็นและกองทหารรัสเซีย โดยไม่มีเสื้อผ้า อาหารและเข็มทิศนั้น สามารถกลับไปถึงค่ายได้เพียงคนเดียว วีรกรรมครั้งนี้ทำให้รูเดิ้ลได้รับเพชรมาประดับกางเขนเหล็กประดับใบโอ๊คและดาบเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 1944


แผนที่เส้นทางหลบหนีของรูเดิ้ล
  
                 ในเดือนกันยายน 1944 ฝูงบินของรูเดิ้ลได้รับมอบหมายให้คุ้มครองปฏิบัติการของทหารราบในฮังการี และในระหว่างออกปฏิบัติการเหนือน่านฟ้าบูดาเปสท์ รูเดิ้ลถูก ปตอ.ยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสที่โคนขา แต่หลังจากพักอยู่ 3-4 วัน เขาก็ออกปฏิบัติการอีกทั้งที่ยังมีผ้าพันแผลหนาเตอะพันอยู่ที่โคนขานั่นเอง การปฏิบัติการอย่างทุ่มเทของเขาทำให้ฮิตเล่อร์มอบเหรียญกางเขนเหล็กประดับใบโอ๊คทองคำ ดาบทองคำ และเพชรให้เขาเป็นกรณีพิเศษในวันที่ 1 มกราคม 1945 และมีเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้รับเหรียญนี้ตลอดสงคราม แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ 1945 ขณะปฏิบัติการใกล้กับแฟรงก์เฟิร์ต รูเดิ้ลก็ถูกสอยด้วย ปตอ.จนบาดเจ็บสาหัสอีกคำรบหนึ่ง โดยที่ขาขวาโดนสะเก็ดระเบิดเข้าไปเต็ม ๆ จนเกือบสิ้นสภาพ แต่ผู้ฝูงกระดูกเหล็กก็ไม่ยอมลาโลกไปง่าย ๆ เขาถูกส่งไปรักษาที่แบลีน (Berlin) และต้องใส่ขาเทียม เมื่อกลับมาโขยกเขยกได้ เขาได้รับแต่งตั้งเป็นนาวาอากาศโท ปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับกองบินสตูก้าโจมตีภาคพื้นดินที่ 2 อิมเมลมาน” (Sturzkampfgeschwader 2 “Immelmann”) ที่เขารัก

 

กางเขนเหล็กประดับใบโอ๊คทองคำ ดาบทองคำ และเพชร

                   เมื่อมีข่าวว่าเยอรมันจะยอมแพ้ รูเดิ้ลผู้รักชาติและบูชาท่านผู้นำอย่างแรงกล้าถึงกับรับไม่ได้ เขากับผู้ใต้บังคับบัญชาจึงวางแผนพลีชีพให้แก่สงครามที่จะสิ้นสุดลง โดยจะขับสตูก้าคู่ใจดำทิ้งระเบิดเป็นครั้งสุดท้าย แต่จะไม่เชิดหัวขึ้นบินระดับอีกตลอดกาล อย่างไรก็ดี เมื่อผู้บังคับบัญชาของเขาเตือนสติว่า ...เยอรมันต้องการพวกคุณเพื่อฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม... รูเดิ้ลกับหนุ่มใจร้อนทั้งหลายจึงได้คิดและเลิกล้มแผนการบ้า ๆ นั้นเสีย

                   เมื่อพลโทโยเดิ้ลลงนามสงบศึก รูเดิ้ลยังอยู่โบฮีเมีย ปฏิบัติการครั้งสุดท้ายของเขากับสตูก้าเป็นการบินไปมอบตัวที่สนามบินคิทซินเก้น (Kitzingen) ซึ่งอยู่ในเขตยึดครองของทหารอเมริกัน เพื่อมิให้พวกอีวานจับเขาไปขึ้นค่าหัวจากสตาลิน เขาถูกส่งตัวไปสอบสวนที่อังกฤษและต่อมาที่ฝรั่งเศส (ซึ่งทหารผู้สัมภาษณ์นิยามว่าเขาเป็นพวกทหารนาซีแท้) ก่อนจะถูกปล่อยตัวกลับไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลในบาวาเรีย

                   ในระหว่างสงคราม รูเดิ้ลออกปฏิบัติการ 2,530 เที่ยวบิน บินเป็นระยะทางกว่า 6 แสนกิโลเมตรทิ้งระเบิดไปมากกว่า 1 ล้านกิโลกรัม ทำลายป้อมปืนใหญ่ไปกว่า 150 ป้อม รถถังกว่า 518 คัน รถบรรทุกทหารกว่า 700 คัน เรือประจัญบาน 1 ลำ (เรือ October Revolution ของกองทัพเรือรัสเซีย) เรือลาดตระเวน 1 ลำ (เรือ Marat ของกองทัพเรือรัสเซีย) เครื่องบินที่ปฏิบัติการในอากาศ 9 ลำ เครื่องบินที่จอดอยู่ 70 ลำ สะพาน ทางรถไฟ ถนนหนทาง และบังเกอร์อีกนับร้อยแห่ง เขาถูกยิงตกรวม 32 ครั้ง แต่ไม่ตาย และเป็นนักบินหนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าร่วมสงครามมาตั้งแต่ต้นและอยู่รอดมาได้จนสงครามเลิก

                     หลังสงครามรูเดิ้ลได้ทำงานด้านการขนส่งสินค้าที่เขารู้สึกว่าน่าเบื่อ พอกองทัพอากาศอาเจนติน่าติดต่อให้เขาไปร่วมงานในปี 1948 ในฐานะที่ปรึกษาเช่นเดียวกับหัวกระทิคนอื่น ๆ ของลุฟท์วาฟเฟ่ เขาจึงไม่รีรอที่จะเดินทางไปอาเจนติน่า และกลับมาเยอรมันในช่วงปี 1950 และแม้จะต้องใส่ขาเทียม บุรุษเหล็กอย่างรูเดิ้ลยังคงชมชอบการทำงานที่ท้าทายเป็นชีวิตจิตใจ เขายังไปปีนเขาและเล่นสกีอย่างสม่ำเสมอ พิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกา คือ อะคอนคากัว (7,020 เมตร) และเป็นครูฝึกเล่นสกีผู้ชำนาญ

                   ยอดนักบินสตูก้าผู้นี้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 1982 ขณะที่มีอายุ 66 ปีที่บ้านของเขาในโรเซ่นไฮม์