วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ฮายริช “พริทซึล” แบล์ (Heinrich “Pritzl” Bär) ผู้ครอบครองทุกน่านฟ้า

                                                                                                      ปกรณ์ นิลประพันธ์


 
ฮายริช พริทซึล แบล์ เกิดที่เมืองซอมเมอร์เฟลด์ ใกล้ไลป์ซิก เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๑๓ (พ.ศ. ๒๔๕๖) ชีวิตวัยเด็กของเขาไม่มีอะไรแตกต่างจากเด็กชายคนอื่น ๆ แต่เมื่อเขาเลือกที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนการบินในปี ค.ศ. ๑๙๓๕ (พ.ศ. ๒๔๗๘) ชีวิตของแบล์ก็เปลี่ยนแปลงไป



เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนการบิน แบล์ได้เข้ารับราชการทหารในตำแหน่งนักบินสำรองของลุฟท์วาฟเฟ่และได้รับมอบหมายให้เป็นนักบินขนส่งโดยบินกับเครื่องบินยุงเคอร์ Ju ๕๒/๓m ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๓๙ (พ.ศ. ๒๔๘๒) เขาเข้ารับการฝึกบินเปลี่ยนแบบเพื่อเป็นนักบินขับไล่กับสุดยอดเครื่องบินขับไล่ของเยอรมันในยุคนั้นคือแมสเซอร์ชมิด Bf ๑๐๙E หลังจบการฝึก ลุฟท์วาฟเฟ่เลื่อนยศเขาเป็นสิบเอกและมีคำสั่งให้เขาย้ายไปเป็นนักบินขับไล่สำรองของฝูงบิน ๑ กองบิน ๕๑ (Jagdgeschwader ๕๑: JG ๕๑)[๑]
                           
                                    
 สิบเอกแบล์ได้เข้าสู่สมรภูมิตั้งแต่แรกที่สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นในยุโรป ในการรบเหนือน่านฟ้าเมืองวีเซ่นเบอร์กในเยอรมนี แบล์เริ่มต้นสถิติของเขาด้วยการส่งเคอร์ติส ฮอว์ค ๗๕A แห่งฝูงบิน CG I/๔ ของกองทัพอากาศฝรั่งเศส (French Armee de L’Air) ตกเป็นเครื่องแรกในวันที่ ๒๕ กันยายน ค.ศ. ๑๙๓๙ และในระหว่างการบุกฝรั่งเศส เขายิงเครื่องบินข้าศึกตกอีก ๗ เครื่อง เป็นเครื่องบินของกองทัพอากาศฝรั่งเศส ๓ เครื่อง และเครื่องบินของกองบินหลวงของอังกฤษ (Royal Air force) ๔ เครื่อง

ต่อมา ในระหว่างการโจมตีเกาะอังกฤษตามยุทธการสิงโตทะเล เขาเป็นนักบินขับไล่สำรองที่มีสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตกจำนวน ๑๗ เครื่อง ซึ่งนับว่ามากที่สุดในบรรดานักบินขับไล่สำรองด้วยกัน แต่ก็มิใช่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จทุกเที่ยวบิน ในวันที่ ๒ กันยายน ค.ศ. ๑๙๔๐ (พ.ศ. ๒๔๘๓) แบล์ถูกนักบินของกองบินหลวงอังกฤษยิงร่วงลงจากท้องฟ้าเหนือช่องแคบอังกฤษ และเป็นครั้งแรกที่เขามีประสบการณ์ในการว่ายน้ำทะเลอันหนาวเหน็บของช่องแคบอังกฤษ  อย่างไรก็ดี เขาสามารถกลับมาทำการรบได้อีกครั้งและด้วยความสุขุมรอบคอบมากขึ้นกว่าเดิม

ในวันที่ ๒ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๔๑ (พ.ศ. ๒๔๘๔) เขาสามารถจัดการเครื่องบินข้าศึกได้ครบ ๒๗ เครื่อง และได้เลื่อนยศเป็นเรืออากาศตรีและได้รับเหรียญกางเขนเหล็ก (Ritterkreuz) เป็นเครื่องการันตีความสามารถ หลังจากนั้น เขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บังคับฝูงบินที่ ๔ แห่งกองบิน ๕๑ นอกจากนี้ ลุฟท์วาฟเฟ่มีคำสั่งให้ฝูงบินของเขาไปประจำแนวรบด้านตะวันออกเพื่อร่วมการรุกด้านตะวันออกโดยให้ไปขึ้นตรงต่อกองบิน ๕๓ (JG ๕๓) หนึ่งโพดำ (Pik As) และเขาได้เปลี่ยนมาบินกับแมสเซอร์ชมิด Bf ๑๐๙F ที่แนวรบด้านตะวันออกนี้เอง

จากการประจำการที่แนวรบด้านรัสเซียนี้เองที่ทำให้แบล์สามารถเพิ่มสถิติการรบของเขาได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากคู่ต่อสู้มีฝีมือและเครื่องบินที่ด้อยกว่าแนวรบด้านตะวันตกมาก โดยในช่วงเดือนเศษระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๑ แบล์สามารถยิงเครื่องบินรัสเซียตกมากมายถึง ๓๓ ลำ จนทำให้สถิติของเขาเพิ่มเป็น ๖๐ ลำ และได้รับใบโอ๊ค (Eichenlaub) มาประดับกางเขนเหล็กของเขาในวันที่ ๑๔ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๑ หลังจากนั้น ในวันที่ ๓๐ สิงหาคม เขาแสดงให้พวกรัสเซียเห็นว่าเขาเป็นนักบินมีระดับอย่างแท้จริงเมื่อจัดการส่งเครื่องบินรัสเซีย ๖ เครื่องลงไปกองเป็นเศษเหล็กอยู่ที่พื้นดินได้ภายในวันเดียว

ในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๔๒ (พ.ศ. ๒๔๘๕) หลังจากเขาเพิ่มสถิติการยิงเครื่องบินข้าศึกตกรวมเป็น ๙๐ เครื่อง แบล์ได้รับดาบ (Schwertern) มาประดับกางเขนเหล็กประดับใบโอ๊คของเขา พร้อมกันนั้นลุฟท์วาฟเฟ่มีคำสั่งเลื่อนยศเขาเป็นเรืออากาศเอก
                          
เมื่อสถานการณ์การสู้รบทางตอนใต้ของแนวรบรัสซีย-เยอรมัน บริเวณแหลมเคิชร์ (Kerch Peninsular) ทางตอนใต้ของยูเครนด้านฝั่งตะวันออกของแหลมไครเมียรุนแรงขึ้น ฝ่ายยุทธการเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เยอรมันต้องยึดครองน่านฟ้าแถบนั้นไว้ให้ได้เพื่อให้การปฏิบัติการภาคพื้นดินประสบความสำเร็จ ลุฟท์วาฟเฟ่จึงมีคำสั่งให้แบล์ซึ่งขณะนั้นทำสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตก ๙๑ เครื่องย้ายมาทำหน้าที่ผู้บังคับฝูงบิน ๑ กองบิน ๗๗ (JG ๗๗) หนึ่งโพแดง (Herz As) ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๒ และมีคำสั่งให้ยอดนักบินรบอีกคนหนึ่งคือเรืออากาศเอก กอร์กอน โกลลอบ (Gordon Gollob) ซึ่งขณะนั้นทำสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตก ๘๖ เครื่อง มาทำหน้าที่ผู้บังคับฝูงบิน ๒ ด้วย คำสั่งนี้ทำให้นักบินฝูงบิน ๑ และฝูงบิน ๒ พิศวงงงงวยเป็นอย่างมากว่าปฏิบัติการยึดครองน่านฟ้าเคิชร์-ทามาน (Kerch-Taman) นี้จะประสบความสำเร็จได้อย่างไรในเมื่อผู้บังคับฝูงบินทั้งสองคนนี้มีบุคลิกที่แตกต่างกันมาก และไม่น่าจะทำงานร่วมกันได้ โดยผู้บังคับฝูงแบล์เป็นคนไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่เคร่งครัดในระเบียบวินัยมากนัก และมีอารมณ์สุนทรีซึ่งเป็นลักษณะของคนไลป์ซิก แบล์ยอมปฏิเสธที่จะออกปฏิบัติการบินทันทีที่เขารู้สึกว่าเขาไม่อยากบิน ขณะที่ผู้บังคับฝูงโกลลอบซึ่งมีเชื้อสายปรัสเซียยึดถือในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แบล์และโกลลอบได้ใช้ความเหมือนกันในการเป็นเพชฌฆาตเวหาบนพื้นฐานของความแตกต่างด้านบุคลิกในการยึดครองน่านฟ้าเคิชร์-ทามาน ไว้ได้สำเร็จตามแผนยุทธการ แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าใดนัก

ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๒ แบล์ยิงเครื่องบิน Ishak ตกลงไปถึง ๕ ลำ และทำให้สถิติของเขาเพิ่มเป็น ๑๐๓ เครื่อง ขณะที่สถิติรวมของกองบิน ๗๗ หนึ่งโพแดง เพิ่มเป็น ๒,๐๑๑ เครื่อง

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๒ ฝูงบิน ๑ กองบิน ๗๗ ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติการในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งนับว่าเป็นน่านฟ้าที่สี่ของแบล์ (นับจากน่านฟ้ายุโรป น่านฟ้าอังกฤษ และน่านฟ้ารัสเซีย) ที่นี่แบล์ต้องกลับมาพบกับคู่รักคู่แค้นเก่าคือเฮอร์ริเคนและสปิตไฟร์และนักบินอังกฤษและอเมริกันที่เชี่ยวชาญการรบมากกว่านักบินรัสเซียอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงเขาก็แสดงตัวให้คู่ต่อสู้ได้รับรู้ถึงการมาของผู้ครองฟ้าโดยจัดการเฮอร์ริเคนและสปิตไฟร์ร่วงลงไป ๑๕ ลำ ก่อนที่จะได้รับคำสั่งให้เข้าไปปฏิบัติการเหนือน่านฟ้าที่ห้า คือ น่านฟ้าแอฟริกาเหนือ โดยฝูงบินของแบล์ต้องเขาไปตั้งฐานปฏิบัติการในภูมิประเทศที่เป็นทะเลทรายอันแสนจะร้อนอบอ้าวของตูนิเซียซึ่งต่างจากภูมิประเทศและภูมิอากาศของรัสเซียที่เขาเพิ่งจากมาไม่นานอย่างสิ้นเชิง

ที่น่านฟ้าแอฟริกาเหนือนี้ แบล์ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเช่นเดิม แต่เนื่องจากปฏิบัติการเหนือน่านฟ้าแอฟริกาเหนือชุกชุมมากเพราะฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการยึดให้ได้เพื่อตัดการครอบครองแหล่งน้ำมันของเยอรมัน ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาก ทำให้แบล์มีความเครียดสูงจนไม่สามารถปฏิบัติการได้ ลุฟท์วาฟเฟ่จึงเรียกตัวเขากลับมาพักเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจที่เยอรมนี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แบล์ทิ้งสถิติที่น่าจดจำไว้ที่แอฟริกาเหนือ โดยเขาสามารถจัดการเครื่องบินข้าศึกลงได้ถึง ๖๑ เครื่องด้วยกัน (ลำดับที่ ๑๑๘-๑๗๙)

ในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. ๑๙๔๔ (พ.ศ. ๒๔๘๗) เมื่อได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว ลุฟท์วาฟเฟ่ได้แต่งตั้งแบล์เป็นผู้บังคับฝูงบิน ๒ กองบิน ๑ “Oesau” ซึ่งเป็นฝูงบินป้องกันน่านฟ้าของประเทศบ้านเกิด และเลื่อนยศเขาเป็นนาวาอากาศตรี ที่นี่เขาต้องเปลี่ยนแบบเครื่องบินมาใช้เครื่องบินโฟลเก้ โวฟล์ (FW) ๑๙๐A-๗ ที่มีความสามารถในการสกัดกั้นสูงมาก และเขาสามารถเพิ่มสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตกจำนวน ๒๐๐ เครื่อง ในวันที่ ๒๒ เมษายน ค.ศ. ๑๙๔๔  และวันในที่ ๒๙ เมษายน แบล์เปลี่ยนมาใช้เครื่องบินโฟลเก้ โวฟล์ (FW) ๑๙๐A-WNr ๔๓๑๐๐๗ ที่นักบินในกองบิน ๑ รู้จักในนาม เรด ๑๓ (Red ๑๓) และเขาจัดการ P-๔๗ Thunderbolt และเครื่องบินทิ้งระเบิด B-๒๔ Liberator ได้เป็นลำดับที่ ๒๐๑ และ ๒๐๒ ในเช้าวันนั้นเอง

ในเดือนมิถุนายน เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นนาวาอากาศโทและลุฟท์วาฟเฟ่ย้ายเขาไปทำงานกับเครื่องบินขับไล่ที่เขาถนัดมากกว่าในกองบิน ๓ “Udet”

ต้นปี ค.ศ. ๑๙๔๕ (พ.ศ. ๒๔๘๘) ลุฟท์วาฟเฟ่ได้แต่งตั้งแบล์เป็นผู้บังคับการแผนก ๓ กองโรงเรียนการบินขับไล่ไอพ่นที่เลชเฟลด์ เพื่อฝึกบินกับเครื่องบินขับไล่แบบแรกของโลก แมสเซอร์ชมิด Me ๒๖๒A และในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน ลุฟท์วาฟเฟ่ได้ยกฐานะของแผนก ๓ กองโรงเรียนการบินนี้เป็นฝูงบินขับไล่ไอพ่น แบล์สามารถใช้พาหนะใหม่ของเขาขิงเครื่องบินข้าศึกตกเป็นเครื่องแรกเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๔๕ เหยื่อรายแรกของเขาในวันนั้นเป็นสุดยอดเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์ลูกสูบของอเมริกา P-๕๑ Mustang  จากนั้นแบล์สามารถจัดการกับเครื่องบินข้าศึกได้อีก ๑๒ เครื่อง ก่อนที่จะได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ในฝูงบินที่ ๓ กองบินขับไล่ไอพ่นที่ ๔๔ ภายใต้บังคับบัญชาของเพื่อเก่าของเขา พลอากาศตรี อด๊อฟ กัลลานด์ (Adolf Galland) ซึ่งกองบินนี้รวบรวมยอดนักบินรบของเยอรมันไว้ด้วยกัน เมื่อกัลลานด์ได้รับบาดเจ็บจากการรบ ลุฟท์วาฟเฟ่ได้เลื่อนยศเขาเป็นนาวาอากาศเอกและมีคำสั่งให้แบล์ดำรงตำแหน่งผู้บังคับฝูงบินนี้แทน ณ ฝูงบินที่ ๓ กองบินขับไล่ไอพ่นที่ ๔๔ นี้เอง แบล์จัดการ P-๔๗ Thunderbolt ได้อีกสามเครื่อง เครื่องสุดท้ายถูกเขายิงตกในวันที่ ๒๙ เมษายน ค.ศ. ๑๙๔๕  หลังจากนั้นสงครามโลกครั้งที่สองได้ยุติลง

 นาวาอากาศเอก ฮายริช พริทซึล แบล์ สร้างสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตก จำนวน ๒๒๑ ลำ รั้งลำดับที่ ๘ ของยอดนักบินแห่งลุฟท์วาฟเฟ่และของโลก และเป็นนักบินขับไล่ไอพ่นที่ยิงเครื่องบินข้าศึกตกมากที่สุดเป็นลำดับที่สองด้วยจำนวน ๑๖ ลำ นอกจากนี้ แบล์ยังเป็นเจ้าของสถิติเข้าร่วมทำการบินในทุกสมรภูมิของเยอรมันทั้งน่านฟ้ายุโรป อังกฤษ รัสเซีย เมดิเตอร์เรเนียน แอฟริกา และแม้แต่น่านฟ้าเยอรมันเอง รวมทั้งสถิติการบินกับยอดเครื่องบินขับไล่และสกัดกั้นทุกแบบของเยอรมัน เขาถูกยิงตกรวม ๑๘ ครั้ง แต่สามารถรอดชีวิตมาได้ทุกครั้งจนกระทั่งเลิกสงคราม

แบล์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินเล็กตกที่เมืองบราวชไวน์ เยอรมนี ในวันที่ ๒๘ เมษายน ค.ศ. ๑๙๕๗ (พ.ศ. ๒๕๐๐) รวมอายุ ๔๔ ปี


[๑]กองบินนี้ต่อมาในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๔๑ (พ.ศ. ๒๔๘๔) ได้รับการขนานนามว่ากองบินโมลเดอร์ (Mölders) เพื่อเป็นเกียรติแก่นายพลอากาศตรี Werner Mölders ยอดนักบินอีกคนหนึ่งของเยอรมันผู้ทำสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตก ๑๐๑ เครื่อง และเสียชีวิตในการสู้รบทางอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น