วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อนาบูกิ ซาโตรุ: เพชฌฆาตแห่งร่างกุ้ง

 ปกรณ์ นิลประพันธ์




           เหมือนกับเสืออากาศคนอื่น ๆ อนาบูกิ ซาโตรุ เป็นคนที่คลั่งไคล้การบินมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเขาจึงเลือกที่จะเรียนที่โรงเรียนการบินของกองทัพญี่ปุ่น และจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2481 ขณะที่มีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นเขาได้เข้ารับราชการในตำแหน่งนักบินของกองบินนาวีของราชนาวีแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิ และออกปฏิบัติหน้าที่เป็นครั้งแรกที่ฐานทัพญี่ปุ่นประจำเกาะฟอร์มอซาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2484 ก่อนที่ญี่ปุ่นจะส่งกองเรือและฝูงบินเข้าถล่มเพิร์ลฮาเบอร์ในวันที่ 7 ธันวาคมปีเดียวกัน

          ประวัติการรบทางอากาศของอนาบูกิ ซาโตรุ เริ่มต้นเมื่อเขาได้รับคำสั่งให้ย้ายไปประจำฟิลิปปินส์ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2484 แต่ ครั้งแรก ของเขากลับเป็นการเรื่องที่ไม่น่าจดจำเท่าใดนัก เมื่อ นากาจิม่า Ki-27 นาเตะ เครื่องบินรุ่นลายครามที่เขาเป็นคนขับต้องเผชิญหน้ากับป้อมบิน B-17 แบบตัวต่อตัว แทนที่ซาโตรุจะจัดการเจ้ายักษ์ใหญ่ลงได้ กลับกลายเป็นว่าเขาต้องโกยอ้าวหลบห่ากระสุนที่โปรยปรายออกมาจากเจ้ายักษ์ลำนั้นแทบไม่ทัน

 Ki-27
                
          อย่างไรก็ดี หลังจากญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ได้ไม่กี่วัน เขาก็สามารถจัดการส่งข้าศึกลงจากท้องฟ้าได้เป็นครั้งแรกในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2484 จากการต่อสู้เหนืออ่าวลิงกาเย่นที่ฟิลิปปินส์นี่เอง โดยผู้เคราะห์ร้ายรายแรกเป็นเครื่อง P-40 ของฝูงบินที่ 17 ของสหรัฐ ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่า Ki-27 ของเขามาก หลังจากจัดการเหยื่อรายแรกได้ราวสองเดือน เขาได้แสดงศักยภาพของเพชฌฆาตบนเวหาออกมาให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง โดยในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 เขาใช้วัตถุโบราณคู่ทุกข์คู่ยาก Ki-27 สอย P-40 ร่วงลงถึงสองลำในวันเดียวกัน แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน ฝูงบินของเขาถูกส่งกลับญี่ปุ่นเพื่อฝึกบินเปลี่ยนแบบกับ นากาจิมา Ki-43 ฮายาบูซ่า ที่จะมาเป็นพาหนะลำใหม่แทน Ki-27

 

Ki-43 ฮายาบูซ่า

        เมื่อจบการฝึก ซาโตรุได้รับคำสั่งให้ไปประจำฐานทัพอากาศมากาลาดอน ชานกรุงร่างกุ้ง ประเทศพม่า ในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2485 ฐานทัพอากาศมากาลาดอนถูกฝูงบินเฮอร์ริเคนของกองทัพอากาศอังกฤษโจมตีอย่างรุนแรง ซาโตรุต้องนำฮายาบูซ่าคู่ขาลำใหม่ขึ้นทำการต่อสู้ทั้งที่ไม่สามารถเก็บฐานล้อได้ แต่เขากลับแสดงความยอดเยี่ยมออกมาโดยส่งเฮอร์ริเคนที่มาเยี่ยมเยียนากาลาดอนเที่ยวนั้นโหม่งพื้นพสุธาได้ถึง 3 ลำ รวมทั้งเฮอร์ริเคนที่ขับโดยนักบินอังกฤษมากประสบการณ์ชื่อ C.D. Fergusson ด้วย

          แม้การรบที่มาลากาดอนจะฟังดูเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับนักบินคนอื่น ๆ แต่ในสายตาของ   ซาโตรุแล้ว การยุทธ์ครั้งนั้นกลายเป็นเพียงการต่อสู้พื้น ๆ เท่านั้น เมื่อเทียบกับยุทธเวหาที่เกิดขึ้นในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2486 โดยในวันนั้นเวลา 12.10 น. ฝูงบินของเขาได้รับคำสั่งให้ไปจัดการกับป้อมบิน B-24 ที่แห่กันมาโจมตีขบวนขนส่งของกองทัพญี่ปุ่นที่อ่าวร่างกุ้ง แต่เครื่องของซาโตรุมีปัญหาระบบจุดระเบิดขัดข้อง จึงต้องขึ้นบินช้าไปถึง 5 นาที เมื่อเขาบินตามไปตามพิกัดที่กำหนด เขากลับไม่สามารถหาฝูงพบเนื่องจากท้องฟ้าวันนั้นมีเมฆมาก แต่สิ่งที่เขาพบกลับกลายเป็น B-24 จำนวน 11 ลำ กับ P-38 ไลท์นิ่ง ซึ่งรับหน้าที่เป็นเครื่องบินคุ้มกันอีก 2 ลำ และดูเหมือนว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเขาด้วยเพราะขณะนั้นเมฆหนามาก หากเขาตัดสินใจโจมตีตามคำสั่งที่ได้รับ เขาต้องต่อสู้กับข้าศึกในลักษณะ 14 รุม 1 เพราะไม่มีเพื่อนอยู่แถวนั้นเลย ซึ่งมีโอกาสรอดยากมาก แต่แทนที่จะถอย วิญญาณเพชฌฆาตทำให้เขาบังคับเจ้าฮายาบูซ่าคู่ทุกข์คู่ยากพุ่งเข้าใส่ขบวนบินมรณะนั้นอย่างไม่รั้งรอ
 
     เริ่มแรก ซาโตรุเลือกที่จะสาดกระสุนใส่ไลท์นิ่งลูกหมู่บินซึ่งอยู่ใกล้เขาที่สุดก่อน การยิงครั้งแรกกระสุนไม่ถูกเป้าหมายและเครื่องของเขาเกือบชนกับเครื่องบินลำนั้นเข้าด้วย เขาจึงวกกลับไปโจมตีอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้กระสุนถูกเข้าที่หางของเป้าหมายอย่างจังจนเกิดไฟไหม้ ไลท์นิ่งเคราะห์ร้ายลำนั้นจึงควงสว่านตกลงพื้นดินใกล้กับแม่น้ำร่างกุ้ง หนึ่งละ ต่อจากนั้น ซาโตรุพลิกกลับไปหาไลท์นิ่งหัวหน้าหมู่บิน แต่ดูเหมือนว่าข้าศึกรายนี้มีประสบการณ์มาก เขาบังคับไลท์นิ่งพลิกท้องและดำลงเพื่อหนีการโจมตีของซาโตรุเนื่องจากไลท์นิ่งมีอัตราไต่ที่ดีกว่าฮายาบูซ่ามาก ซาโตรุก็รู้คุณสมบัติดังกล่าวดีจึงไม่ไล่ตามไป เขาจึงหันหัวไปจัดการป้อมบินที่ไร้ผู้คุ้มกันแทน

          ขณะนั้นเขาอยู่ที่ความสูง 5,500 เมตร เจ้ายักษ์สี่เครื่องยนต์ลำซ้ายสุดของฝูงที่อยู่ใกล้เขาที่สุดนั้นอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 5,000 เมตร ห่างจากเขาประมาณ 1,200 เมตร ซาโตรุทราบดีว่าวิธีเดียวที่ฮายาบูซ่าที่มีเพียงปืนกลอากาศขนาด 7 มิลลิเมตร จำนวน 12 กระบอก จะจัดการกับป้อมบิน B-24 ได้คือการมุดเข้ายิงจากทางด้านล่าง เขาจึงบังคับฮายาบูซ่าให้ดำลง แล้วพุ่งกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ระยะ 300 เมตร ใต้ท้องของเหยื่อ เขาจึงเริ่มยิงชุดแรกและเห็นกระสุนพุ่งตรงเข้าไปยังเป้าหมายอย่างจังจนเกิดไฟลุกไหม้ แทนที่จะออกมาตั้งหลัก ซาโตรุกลับพุ่งตรงไปหาเหยื่อท่ามกลางม่านกระสุนที่ B-24 ที่เหลืออีก 10 ลำ กระหน่ำยิงมาเพื่อป้องกันผู้เคราะห์ร้าย แต่ซาโตรุไม่สนใจ เขายิงซ้ำอีกครั้งหนึ่งเมื่อเข้าใกล้ในระยะ 100 เมตร แล้วเบรคออกทางซ้าย นักบินและลูกเรือ B-24 เคราะห์ร้ายลำนั้นไม่สามารถบังคับเครื่องได้อีกต่อไปจึงพากันโดดร่มออกมา และอวสานของผู้เคราะห์ร้ายก็มาถึงในพริบตาเมื่อมันกระแทกพื้นแหลกละเอียด สองละ

          แต่ซาโตรุมีเวลาดีใจกับความสำเร็จนี้ไม่นานนักเนื่องจากเจ้าไลท์นิ่งของหัวหน้าหมู่บินอเมริกันได้วกกลับมาเกาะอยู่ทางด้านหลังของเขาในช่วงที่เขาพุ่งความสนใจไปที่ป้อมบินยักษ์เมื่อสักครู่นี้ และนักบินอเมริกันเริ่มระดมยิงอย่างรุนแรง ฮายาบูซ่าของเขาโดนเข้าหลายนัดและนัดหนึ่งทะลุมือซ้ายของเขา เลือดออกราวกับน้ำพุ ถึงแม้จะเจ็บปวด ซาโตรุได้แสดงคุณสมบัติโดดเด่นของฮายาบูซ่าออกมาให้นักบินอเมริกันเห็นโดยเลี้ยววงแคบ และทำให้เครื่องบินของเขากลายเป็นผู้ล่าแทนผู้ถูกล่าในพริบตา เขาตามไลท์นิ่งไปใกล้ประมาณ 30 เมตร แล้วจึงระดมยิงหัวหน้าหมู่บินอเมริกันอย่างรุนแรง ทำให้น้ำมันจากเครื่องบินอเมริกันกระจายเข้าใส่ค็อกพิทของซาโตรุจนบดบังทัศนวิสัยของเขาไปชั่วขณะ เมื่อเขามองเห็นอีกครั้ง ซาโตรุพบว่าไลท์นิ่งลำนั้นดำหนีไปพร้อมกับกลุ่มควันเป็นทางยาว คราวนี้ก็เหลือเพียง B-24 ที่ไม่มีผู้คุ้มกัน 10 ลำ เท่านั้น ซาโตรุพุ่งเข้าหาป้อมบินยักษ์ลำหนึ่งและระดมยิงเข้าใส่หนึ่งชุดจนเกิดเพลิงไหม้บริเวณลำตัว เมื่อเขาวกกลับมาก็พบว่าลูกเรือลำนั้นกำลังโดดร่มออกมา เขาจึงพุ่งเข้าหา B-24 อีกลำหนึ่งจากด้านบน แต่เมื่อเหนี่ยวไก เขาจึงพบว่ากระสุนหมดเสียแล้ว

          วันนี้ซาโตรุส่งเหยื่อลงพสุธามาแล้ว 3 ลำ อีก 1 ลำเสียหายหนัก เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักที่มือซ้าย เสียเลือดไปมาก และฮายาบูซ่าของเขาก็ได้รับความเสียหายไม่น้อยจากการโจมตีของหัวหน้าหมู่บินไลท์นิ่ง แต่เมื่อพบว่ากระสุนหมด แทนที่เขาจะกลับมากาลาดอน ซาโตรุกลับทำในสิ่งตรงข้าม เขาบินทื่อฝ่าดงกระสุนที่ยิงออกมาจากเป้าหมายโดยกะจะชนให้ตกไปพร้อมกัน แต่อาจเป็นเพราะว่าชะตาของซาโตรุและลูกเรือของ B-24 ลำนั้นคงยังไม่ถึงฆาต แทนที่ฮายาบูซ่าของเขาจะอัดเข้ากับเป้าหมายตรง ๆ กลับกลายเป็นว่าเครื่องบินของเขาร่อนไปทับอยู่บนหลังของ B-24 ลำนั้นอย่างพอเหมาะพอดี โดยใบพัดของเขากำลังฟันหลังเจ้ายักษ์ใหญ่อยู่ เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งซาโตรุและนักบินอเมริกันทั้งฝูงชะงักไปชั่วขณะ ปืนจาก B-24 เครื่องอื่น ๆ ที่เมื่อสักครู่ยังระดมยิงมาที่เขาต้องหยุดยิงทั้งหมดเพราะเกรงว่าจะไปโดนพวกเดียวกันเข้า ซาโตรุเองก็เกรงว่าหากต้องติดไปด้วยกันเช่นนี้เขาต้องตกเป็นเชลยศึกอย่างแน่นอน

          แต่เทพีแห่งโชคยังคงเป็นของซาโตรุ เครื่อง B-24 ที่แบกน้ำหนักของฮายาบูซ่าอยู่เกิดเสียกำลัง เครื่องบินของซาโตรุจึงร่วงลงมาจากหลังของเจ้ายักษ์และร่อนอยู่ในอากาศ และโชคยังดีที่ซาโตรุสามารถติดเครื่องยนต์ได้อย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นเครื่องยนต์ที่ชำรุดจากกระสุนปืนของไลท์นิ่งและใบพัดที่เสียหายจากการฟันหลังของเจ้ายักษ์ B-24 ช่วยได้เพียงประคับประคองไม่ให้ฮายาบูซ่าตกลงมาอย่างหมดท่าเท่านั้น เขาต้องร่อนลงฉุกเฉินที่ริมฝั่งแม่น้ำร่างกุ้ง และหน่วยพยาบาลมารับตัวเขาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล และซาโตรุผู้โชคดีได้กลับมาล่าเหยื่ออีกครั้งหลังจากพักรักษาตัว 5 วัน

          วีรกรรมของซาโตรุในครั้งนี้ทำให้กองบัญชาการทหารสูงสุดเรียกตัวเขากลับญี่ปุ่นเพื่อทำหน้าที่ครูการบินแก่ศิษย์การบินที่โรงเรียนการบินรบอาเคโนะ จนกระทั่งเดือนตุลาคม พ.ศ. 2487 ซาโตรุจึงได้รับคำสั่งให้ออกปฏิบัติราชการสนามอีกครั้งหนึ่งที่ฟิลิปปินส์โดยได้รับคู่ขาตัวใหม่เป็น Ki-84 ฮายาเตะ ที่นี่เขาสอย F6F Hellcat ร่วงลงไปอีก 6 ลำ ก่อนได้รับคำสั่งให้กลับไปป้องกันเกาะญี่ปุ่น เครื่องบินข้าศึกลำสุดท้ายที่เขายิงตกเป็นเครื่อง B-29 เหนือน่านฟ้าฮอนชู

          เมื่อสงครามสงบ ซาโตรุทำสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกตก 51 ลำ โดยเป็นเฮอริเคนถึง 25 ลำ และในปี พ.ศ. 2493 เขากลับเข้ารับราชการในกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นและเปลี่ยนมาขับเฮลิคอปเตอร์แทน

                  





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น