โดย ปกรณ์
นิลประพันธ์
จังหวัดนารา
(奈良県)
อยู่ในมณฑลคินกิ บนเกาะฮอนชู ของประเทศญี่ปุ่น เป็นจังหวัดที่อยู่ลึกเข้าไปในตอนกลางของเกาะ จังหวัดนี้จึงแปลกไปจากจังหวัดอื่น ๆ
ของญี่ปุ่นที่มักจะติดทะเล โดยนารานั้นรายรอบไปด้วยหุบเขาอันสวยงามและมีอากาศอบอุ่นตลอดปี เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๑๙๐๒ (๒๔๔๕) อันเป็นปีขาลของญี่ปุ่น นางชิกะ ฟูชิดะ
ภรรยาของนายยาโซะ ฟูชิดะ
ผู้เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนมัธยมกัมมากิซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอนากาโอะของจังหวัดนี้ ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนที่สามของครอบครัว
บิดามารดาจึงได้ตั้งชื่อเด็กชายหน้าตาน่ารักน่าชังผู้นี้ว่า “มิตซูโอะ”
ซึ่งหมายถึงลูกคนที่สาม
มิตซูโอะ
ฟูชิดะ
ยาโซะนั้นแม้จะมีอาชีพพ่อพิมพ์
แต่ในวัยเด็กนั้นเขาใฝ่ฝันที่จะเป็นทหารและตั้งใจจะสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยทหารบกที่อิชิกายะ ซึ่งถือเป็นเวสท์พอท์ยออฟเจแปน
เพราะอาชีพทหารถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติอย่างสูงในญี่ปุ่น แต่เขากลับไม่ได้ทำอย่างที่ได้ตั้งใจไว้เพราะก่อนที่จะสอบนั้นเขาถูกลูกเบสบอลเข้าที่ตาซ้ายอย่างจังจนทำให้ตาเกือบบอด
ยาโซะจึงไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยได้โดยปริยาย แต่เขาก็มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกชายของเขาคงจะสามารถเติมเต็มความฝันในวัยเด็กของเขาได้ในที่สุด
ส่วนชิกะผู้ภรรยาของยาโซะเป็นบุตรสาวของซูเอ็ตซูกุ
กามาเอมอน ซามูไรแห่งปราสาททากาโตริที่มีชื่อเสียงโด่งดังของจังหวัดนารา และเป็นผู้สนับสนุนโชกุนโตกูกาว่า โยชิโนบุ ในสมัยเอโดะ แต่หลังจากสงครามกลางเมืองในการปฏิรูปเมจิ
หรือเมจิ-อิชิน (明治維新) ซึ่งฝ่ายโชกุนโตกูกาว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อฝ่ายของพระจักรพรรดิ
บิดาของชิกะก็กลายเป็นกบฏ แต่กระนั้นชิกะก็สืบสายเลือดของซามูไรผู้จงรักภักดีมาอย่างเต็มตัว
ความเป็นมาของบิดามารดาของมิตซูโอะ คงสะท้อนแนวทางการอบรมเลี้ยงดูบุตรของครอบครัวฟูชิดะได้เป็นอย่างดีว่าจะเป็นไปในแนวทางใด
และการอบรมตามหลักซามูไรนี้เองที่ทำให้เด็กชายมิตซูโอะ ฟูชิดะ เป็นผู้มีนิสัยเรียบร้อย
มีระเบียบวินัยดี กล้าหาญ และรักที่จะเป็นทหารดังเช่นที่บิดาของเขาเคยตั้งใจไว้
เมื่ออายุ
๑๕ ปี มิตซูโอะได้มีโอกาสไปเที่ยวที่คาบสมุทรอิเซ
ความหลงใหลคลั่งไคล้ในความมหัศจรรย์และลึกลับแห่งท้องทะเลได้เกาะกุมจิตใจของหนุ่มน้อยจากนาราผู้นี้
จนทำให้เขาตัดสินใจทันทีว่าเขาต้องเป็นนายทหารเรือแห่งราชนาวีอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระจักรพรรดิให้ได้ แทนที่จะเป็นทหารบกอย่างที่บิดาตั้งความหวังไว้
และเมื่อจบการศึกษาชั้นมัธยมต้นเมื่อปลายปี ๑๙๑๗ (๒๔๖๐)
เขาเดินทางไปโอซาก้าอันเป็นที่ตั้งของกรมโรงเรียนนายร้อยทุกเหล่าเพื่อสอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อย
หอประชุมใหญ่โรงเรียนนายเรือที่อิตา
จิม่า
ในสมัยนั้น
นักเรียนนายร้อยทหารบกและนักเรียนนายเรือญี่ปุ่นไม่ได้สอบพร้อมกัน โดยนักเรียนนายร้อยทหารบกจะสอบเดือนมกราคม ส่วนนักเรียนนายเรือจะสอบเดือนพฤษภาคม ดังนั้น ผู้สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยทหารบกไม่ได้ ก็ยังมีโอกาสที่จะสอบเข้าโรงเรียนนายเรืออีกครั้งหนึ่ง
และในการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยทหารบกในเดือนมกราคม
๑๙๑๘ (๒๔๖๑) นั้น มิตซูโอะผ่านการทดสอบข้อเขียนและสมรรถภาพทางกาย แต่กลับไม่ได้รับการคัดเลือกเนื่องจากน้ำหนักน้อยกว่าที่กำหนด
การสอบตกครั้งนี้ไม่ได้ทำให้มิตซูโอะเสียอกเสียใจมากมายนัก
เพราะใจของเขานั้นเอนไปในทางทหารเรืออยู่แล้ว แต่มิตซูโอะก็มิได้ประมาท เขาไปสมัครเรียนต่อที่โรงเรียนพาณิชย์นาวีที่โกเบเมื่อเดือนมีนาคมโดยหวังว่าการเรียนและการฝึกที่โรงเรียนพาณิชย์นาวีจะเป็นประโยชน์กับเขาในการสอบเข้าโรงเรียนนายเรือที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม
แต่กลายเป็นว่าคราวนี้เขาสอบข้อเขียนตก แต่ผ่านการทดสอบอื่นทั้งหมด
ทั้งครอบครัวช๊อคกับผลการสอบครั้งนี้มาก แต่บิดามารดาผู้อารียังคงเป็นกำลังใจให้กับเขาเหมือนเช่นเคย
และทำให้มิตซูโอะมุมานะในการเตรียมตัวสอบสอบครั้งใหม่ และสามารถสอบเข้าโรงเรียนนายเรือที่ตั้งอยู่ ณ
เกาะอิตา จิม่า (江田島市) ในอ่าวฮิโรชิมา ทางทิศตะวันตกฉียงใต้ของเมืองฮิโรชิมา ได้ในปี ๑๙๒๑ (๒๔๖๓)
และนักเรียนนายเรือฟูชิดะยังมีโอกาสเป็นพระสหายของนักเรียนนายเรือเจ้าฟ้าชายทากามัทสุ
พระอนุชาแห่งมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโต ซึ่งต่อมาเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ ฮิโรฮิโต รวมทั้งนักเรียนนายเรือมิโนรุ
เก็นดะ อัจฉริยะของรุ่น ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นยอดเสนาธิการของจักรพรรดินาวีอันเกรียงไกรและเป็นหนึ่งในทีมวางแผนการโจมตีเพิร์ล
ฮาเบอร์ ด้วย
นักเรียนนายเรือญี่ปุ่นสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่
๒
เมื่อเข้าเป็นนักเรียนนายเรือ
ฟูชิดะตั้งใจเรียนอย่างมุ่งมั่นและมักจะเป็นคนแรกของชั้นที่ยกมือเพื่อตอบคำถามต่าง
ๆ ที่ครูถามเสมอ และนิสัยมือไวใจเร็วนี้เองที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล
โดยวันหนึ่งมีเครื่องบินทะเลแบบ F-๕ ของกองบินทหารเรือมาจอดที่อิตาจิมาและได้ขึ้นสาธิตการบินให้นักเรียนนายเรือชม เมื่อแสดงเสร็จ เรือโทมิยาซากิได้ถามว่าใครอยากเป็นนักบินทหารเรือบ้าง ฟูชิดะยกมือขึ้นตามนิสัย
มิยาซากิจึงพาเขาขึ้นบินด้วยและทำให้เขาหลงมนต์เสน่ห์ของการบินนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จุดนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นเพื่อนสนิทกับเก็นดะซึ่งหลงใหลในการบินเช่นเดียวกัน
เรือพิฆาตมิเนคาเซ่
เรือในชั้นเดียวกับเรือพิฆาตอากิกาเซ่
ฟูชิดะจบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือเมื่อวันที่
๒๔ กรกฎาคม ๑๙๒๔ (๒๔๖๖) และได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ช่วยต้นหนประจำเรือยาฮากิ
อันเป็นเรือฝึกนักเรียนนายเรือ และหลังจากเข้าโรงเรียนปืนใหญ่และโรงเรียนตอร์ปิโด
จักรพรรดิ์นาวีมีคำสั่งให้เรือตรีฟูชิดะปฏิบัติหน้าที่ต้นหนประจำเรือพิฆาตอากิกาเซ่
แต่ระหว่างนั้นเขาก็เดินตามความฝันโดยการวิ่งเต้นสมัครเข้าเรียนการบินตลอดเวลา
และในวันที่ ๑ ธันวาคม ๑๙๒๗ (๒๔๖๙) จักรพรรดินาวีมีคำสั่งเลื่อนยศเขาเป็นเรือโทพร้อมกับมีคำสั่งให้เขาพร้อมกับนายทหารเรืออื่นอีก
๘ คนไปเข้าเรียนที่โรงเรียนการบินทหารเรือที่คาซูมิกาอูระ ที่ห่างจากโตเกียวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๗๐ ไมล์
พิธีต้อนรับศิษย์การบินรุ่นฟูชิดะ
ในวันที่พวกเขาย่างเท้าเข้าโรงเรียนการบินวันแรกไม่น่าจดจำเท่าใดนัก
เนื่องจากวันนั้นศิษย์การบินรุ่นก่อนกำลังฝึกบินผาดแผลงแต่เกิดประสบอุบัติเหตุชนกันกลางอากาศ
ศิษย์การบินเสียชีวิตสองนาย แต่เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ฟูชิดะตระหนักว่าการฝึกบินต้องใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ทุกครั้งที่ขึ้นบิน
การผิดพลาดเพียงนิดเดียวหมายถึงความสูญเสียอย่างร้ายแรง และฟูชิดะก็แสดงความเป็นเอกทัคคะทางการบินให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยการบินเดี่ยวได้ภายใน
๑๔ ชั่วโมงบิน ซึ่งนับเป็นสถิติปล่อยเดี่ยวเร็วที่สุดของโรงเรียนการบินนาวีนับตั้งแต่ก่อตั้งมาเลยทีเดียว
เรือบรรทุกเครื่องบินคากะ
เมื่อจบการศึกษา ณ
โรงเรียนการบิน จักรพรรดิ์นาวีมีคำสั่งให้เรือโทฟูชิดะเป็นนักบินประจำเรือลาดตะเวณหนักอาโอบะ
และในปี ๑๙๒๙ (๒๔๗๑) เขาเปลี่ยนเรืออีกครั้ง
คราวนี้ไปประจำเรือบรรทุกเครื่องบินขนาด ๓๓,๖๙๓ ตัน ชื่อ “คากะ” ซึ่งเพิ่งต่อเสร็จและขึ้นระวางในเดือนมีนาคม
๑๙๒๖ วันหนึ่งหมอกลงจัดมาก เขากับเรือโทคิโยชิ คัทสุฮาตะ
ได้รับคำสั่งให้ขึ้นบินลาดตะเวณตามปกติในบริเวณทะเลจีนใต้ ปรากฏว่าในขากลับพวกเขาหาคากะไม่พบ
ฟูชิดะซึ่งทำหน้าที่นักบินตัดสินใจบินขึ้นไปที่
๘,๐๐๐ ฟุต จนน้ำมันหมด แล้วค่อย ๆ ร่อนลงมา
ระหว่างทางเขาสังเกตเห็นเรือประมงจีนลำเล็ก ๆ อยู่ข้างหน้าจึงร่อนเข้าไปหาและตกแหมะลงที่ใกล้ ๆ เรือประมงจีนลำนั้น
แล้วรีบว่ายน้ำไปขอความช่วยเหลือ เป็นอันว่าวันนั้นชาวประมงจับนักบินตัวเป็น ๆ ได้แทนปลาอย่างเคย
เรือสนับสนุนเรือดำน้ำ
“จินเกอิ”
หลังจากออกทะเลมา ๔ ปี
จักรพรรดิ์นาวีเลื่อนยศฟูชิดะเป็นเรือเอกในเดือนธันวาคม ๑๙๓๐
และให้เขามาประจำฐานทัพเรือซาเซโบทางตะวันตกของกิวชิว
และเข้าพิธีสมรสกับนางสาวฮารูโกะ คิตะโอกะ
ลูกสาวคนสวยของคหบดีชาวซาเซโบในเดือนมกราคม ๑๙๓๒ แต่หลังสมรส จักรพรรดิ์นาวีมีคำสั่งให้ฟูชิดะทำหน้าที่แอร์บอสประจำเรือสนับสนุนเรือดำน้ำชื่อจินเกอิ โดยเรือจินเกอิจะสนับสนุนเรือดำน้ำรวม
๙ ลำ เรือดำน้ำแต่ละลำจะบรรทุกเครื่องบินทะเล ๑ เครื่อง
ขณะที่เรือจินเกอิมีเครื่องบินทะเลขนาดใหญ่ประจำการรวม ๓ เครื่อง
โดยฟูชิดะมีหน้าที่ควบคุมดูแลฝูงบินทั้ง ๑๒ เครื่องนี้
เขาทำหน้าที่นี้จนถึงเดือนพฤศจิกายน ๑๙๓๒ หลังจากนั้นก็ได้รับคำสั่งให้กลับเข้ามารับการฝึกบินหลักสูตรทิ้งระเบิดและตอร์ปิโดที่ระยะสูงเป็นเวลา
๖ เดือน ณ กองบินโยโกซูกะ
และในการฝึกบินนี้เองที่ทำให้ฟูชิดะโคจรมาพบกับเก็นดะอีกครั้ง แต่คราวนี้ในฐานะที่เก็นดะเป็นครูและเขาเป็นศิษย์
ซึ่งฟูชิดะก็ไม่ทิ้งลายยอดนักบินเมื่อเขาทำคะแนนในการฝึกบินครั้งนี้ได้ในระดับดีเยี่ยมอีกครั้ง
เรือลาดตะเวณเบานาโตริ
เมื่อจบการฝึกอันเข้มข้นในเดือนพฤษภาคม
๑๙๓๓ เขาได้ย้ายเรืออีกครั้ง คราวนี้ไปอยู่เรือลาดตะเวณเบานาโตริ และต่อมาในเดือนตุลาคม
ก็ย้ายไปอยู่เรือลาดตะเวนมายะ และเมื่ออยู่มาครบสามปีคราวนี้
จักพรรดิ์นาวีได้ย้ายเขาไปเป็นครูการบินหลักสูตรทิ้งระเบิดและตอร์ปิโดที่ระยะสูงที่กองบินโยโกซูกะ
อย่างไรก็ดี ฟูชิดะไม่ชอบการทิ้งระเบิดที่ระยะสูงมากเท่าใดนักเพราะพลาดเป้าได้ง่าย
โดยเฉพาะเรืออันเป็นเป้าหมายที่เคลื่อนไหวได้ การบินเดี่ยวเพื่อทิ้งระเบิดที่ระยะสูงให้ได้ดีนั้น
นอกจากนักบินต้องสุดยอดแล้ว ยังต้องอาศัยโชคช่วยอีกด้วย
ความเบื่อหน่ายนี้เองที่ทำให้ฟูชิดะหาโอกาสทดลองจัดขบวนบินใหม่เพื่อช่วยให้การทิ้งระเบิดพลาดเป้าน้อยลง
เขาทดลองใช้เครื่องบินหมู่ละ ๓ เครื่อง รวม ๓
หมู่มาประกอบเป็นฝูงบินทิ้งระเบิดระยะสูง จัดขบวนบินเป็นรูปหัวลูกศรขนาดใหญ่
เมื่อทดลองนำไปทิ้งระเบิดเป้าหมายทั้งเคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่
ปรากฏว่าเปอร์เซ็นต์การทำลายเป้าหมายสูงกว่าเดิมมาก ซึ่งต่อมาจักรพรรดิ์นาวีได้นำการจัดขบวนบินที่ฟูชิดะคิดค้นขึ้นนี้ไปใช้ตลอดระยะเวลาของสงคราม
ความโดดเด่นด้านการบินและความขึ้นชื่อด้านความมีระเบียบวินัยของฟูชิดะทำให้เขาได้เลื่อนยศเป็นนาวาตรีเมื่อวันที่
๑ ธันวาคม ๑๙๓๖ ขณะที่มีอายุ ๓๔ ปี ซึ่งนับว่าหนุ่มมากในสมัยนั้น
รวมทั้งผ่านการคัดเลือกให้เข้าเรียน ณ โรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ ซึ่งมีกระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มข้นและต้องสอบแข่งขันกันอย่างดุเดือด
เพราะรับเข้าเรียนเพียงรุ่นละ ๒๔ คนเท่านั้น
ใครผ่านโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือจึงรับรองว่ามีอนาคตในจักรพรรดิ์นาวีแน่นอน
ที่โรงเรียนเสนาธิการทหารเรือนี้เอง
ฟูชิดะได้พบกับเก็นดะอีกรอบหนึ่ง และเก็นดะผู้เป็นอัจฉริยะของนักเรียนนายเรือรุ่นเดียวกับฟูชิดะก็ได้มาเป็นครูของฟูชิดะอีกรอบหนึ่งในโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือแห่งนี้
แต่โดยที่กองทัพเรือขณะนั้นมีหลักนิยมในการทำสงครามทางเรือแบบคลาสสิค
อาจารย์ผู้สอนจึงเป็นเอกทัคคะด้านการยุทธ์แบบเรือต่อเรือทั้งสิ้น และไม่มีการพัฒนาแนวคิดที่จะนำเวหานุภาพมาผนวกเข้ากับอำนาจการยิงทางเรือทั้งที่กองทัพเรือญี่ปุ่นใช้เครื่องบินควบคู่กับเรือรบมานานแล้ว
และมีเรือบรรทุกเครื่องบินใช้แล้วด้วย เครื่องบินจึงกลายเป็นเพียงหูตาของกองเรือ
และผู้พิทักษ์กองเรือจากการรุกรานของกองเรือข้าศึกเท่านั้น
USS Panay
เมื่อสงครามญี่ปุ่น-จีน
ระเบิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม ๑๙๓๗ ฟูชิดะยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ
และก็ไม่น่าที่เขาจะเข้าไปมีเอี่ยวกับสถานการณ์นี้ได้ แต่เมื่อเรือโท มัทสะตาเกะ โอคุมิยะ และเรือโท ชิเกฮารุ
มูระตะ สองนักบินนาวีหนุ่มของญี่ปุ่นประจำกองบินนาวีที่ ๑๓ แห่งนานกิง
ได้รับคำสั่งเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๑๙๓๗
ให้ทำลายเรือที่จอดอยู่ในแม่น้ำแยงซีใกล้เซี่งไฮ้
นักบินได้ออกปฏิบัติการตามคำสั่งรวมทั้งได้ทิ้งระเบิดเรือลาดตะเวณลำน้ำของอเมริกันชื่อ
“พานาย” (USS
Panay: PR-๕) ที่พวกเขาเห็นว่าจอดอยู่บริเวณปากแม่น้ำแยงซีด้วย
ทั้งที่เรือพานายชักธงอเมริกัน จนเป็นเหตุให้ลูกเรือเสียชีวิต ๓ คน บาดเจ็บ ๔๓ คน เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น
และญี่ปุ่นต้อง “แสดงความเสียใจ” ต่ออเมริกาที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
และจักพรรดิ์นาวีไม่ต้องการให้เกิดการเสียหน้าขึ้นอีก จึงมีคำสั่งให้ฟูชิดะผู้เคร่งครัดต่อหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าแผนกปฏิบัติการบินของกองบินนาวีที่
๑๓ แห่งนานกิง
ซึ่งมีพื้นที่ปฏิบัติการในมณฑลหวูฮั่น
เรือบรรทุกเครื่องบินอกากิ
แม้จะไม่ได้เรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือจนจบหลักสูตร
แต่จักรพรรดิ์นาวีไม่ถือว่าฟูชิดะขาดเรียน และถือว่าเขาจบจากโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือเมื่อวันที่
๑๕ กันยายน ๑๙๓๘
และได้รับคำสั่งให้ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับฝูงบินประจำเรือบรรทุกเครื่องบินเบาเรียวโจในช่วงสั้น
ๆ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ครองอากาศในการบุกมณฑลกวางตุ้ง ก่อนกลับมาประจำฐานทัพเรือที่ซาเซโบในเดือนธันวาคม
ก่อนที่จะออกไปรับงานใหม่ใหญ่กว่าเดิมในเดือนพฤศจิกายน ๑๙๓๙ ในฐานะผู้บังคับฝูงบินประจำเรือบรรทุกเครื่องบินอกากิ
(赤城) ที่แปลว่า “ปราสาทเพลิง” ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อภูเขาไฟอกากิในมณฑลคันโต และเขาได้นำความรู้ในการทิ้งระเบิดที่ระยะสูงมาประยุกต์ใช้ในการทิ้งตอร์ปิโด
จนกลายเป็นผู้ชำนาญการบินทิ้งตอร์ปิโดในที่สุด
และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาธิการประจำกองบินนาวีที่สามที่ประกอบด้วยเครื่องบินประจำเรือบรรทุกเครื่องบินเรียวโจและโชโฮในอีกหนึ่งปีต่อมา
กลางเดือนสิงหาคม
๑๙๔๑
จักรพรรดิ์นาวีมีคำสั่งด่วนให้ฟูชิดะกลับไปปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับฝูงบินประจำเรือบรรทุกเครื่องบินอกากิอีกคำรบหนึ่ง
สร้างความงุนงงให้ฟูชิดะซึ่งทุกคนคาดหมายว่าจะได้รับการเลื่อนยศเป็นนาวาเอกในอีกสองเดือนข้างหน้าเป็นอย่างมากเพราะการย้ายแบบนี้เหมือนกับเขาถูกลดตำแหน่งลง
แต่เขาก็ไม่ถามไถ่อะไรมากตามแบบฉบับของทหารที่ดี และไปรายงานตัวตามคำสั่ง
เมื่อฟูชิดะเข้ารายงานตัวต่อพลเรือโท
ชูอิชิ นากูโม ผู้เชี่ยวชาญสงครามตอร์ปิโด ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองเรือบรรทุกเครื่องบินที่หนึ่ง
เขาจึงทราบว่าเก็นดะเพื่อนซี้ของเขาเป็นเสนาธิการฝ่ายปฏิบัติการทางอากาศของกองเรือบรรทุกเครื่องบินนี้ และปรากฏว่าเขาได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชานักบินของกองเรือบรรทุกเครื่องบินที่หนึ่งอันประกอบด้วยเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ ๔ ลำ คือ อกากิและคากะ (ความหรรษา) ที่เป็นหมวดเรือที่หนึ่ง
และซอยุ (มังกรฟ้า) และฮีร์ยุ (มังกรบิน) ที่เป็นหมวดเรือที่สอง มิใช่แค่ผู้บังคับฝูงบินประจำเรือบรรทุกเครื่องบินอกากิอย่างที่ได้รับคำสั่งแต่แรก
ฟูชิดะเริ่มงงใหม่เพราะเรื่องเข้าสู่โหมดลึกลับอีกครั้ง
เมื่อเขาเข้ารับหน้าที่ก็พบว่าบรรดานักบินที่มารวมตัวกันอยู่ในกองเรือบรรทุกเครื่องบินนี้เป็นนักบินระดับหัวกระทิของจักรพรรดินาวีทั้งสิ้น
ฟูชิดะก็ยิ่งงงหนักขึ้นไปอีกว่ากองทัพมีความประสงค์ใดกันแน่ แต่โดยที่ฟูชิดะเป็นทหารที่มีระเบียบวินัย สิ่งที่เขาทำคือปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีการสอบถาม
ซักไซ้ไล่เลียง หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชาตามหน้าหนังสือพิมพ์เหมือนทหารในประเทศสารขัณฑ์ ทั้งนี้ คำสั่งที่เขาได้รับคือให้เคี่ยวนักบินของกองเรือบรรทุกเครื่องบินนี้ให้เชี่ยวชาญในการฝึกทิ้งระเบิดและตอร์ปิโดในแนวระดับ
และการดำทิ้งระเบิด
เครื่องบินขับไล่มิตซูบิชิ เอ ๖-เอ็ม “ซีโร่” (A หมายถึง attack ส่วน
M หมายถึงมิตซูบิชิที่เป็นผู้ผลิต)
แม้ฟูชิดะจะอยู่เรือลำเดียวกับเก็นดะ
แต่ยอดนักบินกับยอดเสนาธิการคู่นี้แทบจะไม่ได้พบกันเลย จนปลายเดือนกันยายน ๑๙๔๑ เพื่อนสนิทคู่นี้จึงมีโอกาสพบปะพูดคุยกันฉันท์เพื่อนเป็นครั้งแรก โดยเก็นดะเล่าให้เขาฟังว่าสถานการณ์ระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐได้เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ถ้าหากมีความจำเป็นต้องทำสงคราม
แม่ทัพเรือยามาโมโต้ได้วางแผนที่จะเริ่มต้นด้วยการโจมตีอ่าวเพิร์ล แผนนี้ได้รับการอนุมัติแล้ว
กระทรวงทหารเรือจึงมีคำสั่งให้จัดตั้งกองเรือบรรทุกเครื่องบินที่หนึ่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่นี้
โดยนักบินของกองเรือที่หนึ่งจะเป็นผู้นำการโจมตี และตัวเก็นดะเองเป็นผู้เสนอชื่อฟูชิดะเป็นผู้อำนวยการโจมตี และเป็นผู้บังคับบัญชานักบินของกองเรือบรรทุกเครื่องบินที่หนึ่งด้วยเพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการโจมตีทิ้งระเบิดจนเป็นที่ยอมรับในหมู่นักบิน
ซึ่งพลเรือเอกยามาโมโต้เห็นด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฟูชิดะถึงต้องย้ายมาทำหน้าที่นี้ และพาเขาไปพบกับนากูโมและเหล่าเสนาธิการในห้องประชุมเพื่อรับทราบรายละเอียดของแผนปฏิบัติการเพื่อเตรียมการฝึกให้สมจริงที่สุด
แผนที่เกาะโอฮาอู
ห้องประชุมนั้นมีโมเดลจำลองของเกาะโอฮาอูอันเป็นที่ตั้งของอ่าวเพิร์ลวางอยู่กลางห้อง
และเก็นดะเป็นผู้บรรยายสรุปสภาพพื้นที่เป้าหมายและชี้ที่จอดประจำของเรือรบต่าง ๆ
ของกองเรือแปซิกฟิกของสหรัฐฯในอ่าวเพิร์ลให้ฟูชิดะดูด้วย
สำหรับวิธีการโจมตีบรรดาเรือรบเหล่านี้ เก็นดะเสนอให้ใช้การทิ้งตอร์ปิโดเข้าทำลายเป้าหมายเพราะมันสร้างความเสียหายให้แก่ตัวเรือได้รุนแรงกว่าระเบิดธรรมดามาก ฟูชิดะในฐานะผู้อำนวยการโจมตีและต้องเป็นผู้ปฏิบัติในสนามได้ฟังแล้วถึงกับสะอึก เพราะน้ำในอ่าวเพิร์ลลึกแค่ ๔๐ ฟุตเท่านั้น ซึ่งถือว่าตื้นมากสำหรับการทิ้งตอร์ปิโด
และญี่ปุ่นก็ยังไม่มีตอร์ปิโดน้ำตื้นใช้ ขืนใช้ตอร์ปิโดธรรมดาทิ้งลงไป ตอร์ปิโดก็มุดลงโคลนก้นอ่าวเพิร์ลเท่านั้น อีกทั้งการจอดเรือก็จอดซ้อนกันสองชั้น
หากใช้ตอร์ปิโดสำเร็จเรือที่จอดด้านนอกเท่านั้นที่จะเสียหายหรือถูกทำลาย
เรือที่จอดอยู่ด้านในติดกับท่าจะไม่เสียหายเลย แต่เก็นดะยังคงยืนยันให้ใช้วิธีดังกล่าว
ฟูชิดะจึงประนีประนอมโดยขอให้พัฒนาตอร์ปิโดน้ำตื้นมาใช้ และใช้วิธีการโจมตีอื่นประกอบด้วยเพื่อประกันความสำเร็จ
ทั้งการทิ้งระเบิดระยะสูงและการดำทิ้งระเบิด และการโจมตีจะแบ่งออกเป็น ๒ ระลอก ๆ
ละ ๓ กลุ่ม เพื่อสร้างความเสียหายให้มากที่สุด ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบและมอบหมายให้ฟูชิดะเริ่มการฝึกจริงได้
พร้อมกันนั้น จักรพรรดิ์นาวีมีคำสั่งให้กองเรือบรรทุกเครื่องบินที่ห้าที่ประกอบด้วยเรือบรรทุกเครื่องบินโชกากุ
(นกกระสาเหินหาว) และซุยกากุ (นกกระสาแห่งโชค)
มาประกอบกำลังกับกองเรือบรรทุกเครื่องบินที่หนึ่งด้วย
เครื่องบินดำทิ้งระเบิดไอชิ ดี ๓-เอ “วาล” (D หมายถึง driving ส่วน
A หมายถึงไอชิที่เป็นผู้ผลิต)
ในการฝึกบินทิ้งระเบิดที่ระยะสูง
ฟูชิดะทดลองลดจำนวนเครื่องบินทิ้งระเบิดลงเหลือฝูงละ ๕ เครื่อง และบินชิดกันมากขึ้นเพื่อให้หัวลูกศรเล็กลง ผลปรากฏว่าทิ้งระเบิดตรงที่หมายถึงร้อยละ ๗๐ ส่วนการบินดำทิ้งระเบิดนั้นยังคงใช้ฝูงละ ๑๒
เครื่องเช่นเดิม แต่เน้นความแม่นยำในการทิ้งระเบิด ผลปรากฏว่าทิ้งระเบิดตรงที่หมายถึงร้อยละ ๔๐ ซึ่งนับว่ามีความแม่นยำสูงมากในสมัยนั้น
และผลการฝึกอันยอดเยี่ยมเช่นนี้เองที่ทำให้ฟูชิดะเลื่อนยศเป็นนาวาเอก
ส่วนตอร์ปิโดนั้น ญี่ปุ่นได้พัฒนาตอร์ปิโดน้ำตื้นแบบ ๙๑
ขึ้นมาใช้ในการโจมตีอ่าวเพิร์ลเป็นการเฉพาะ
โดยพัฒนามาจากตอร์ปิโดขนาดเล็กที่ใช้กับเรือดำน้ำขนาดจิ๋วมิดเจ็ตนั่นเอง
เครื่องบินทิ้งระเบิดและตอร์ปิโด นากาจิมา บี ๕-เอ็น “คาเตะ” (B หมายถึง bomber ส่วน
N หมายถึงนากาจิมาที่เป็นผู้ผลิต)
ตอนเที่ยงของวันที่
๑๗ พฤศจิกายน ๑๙๔๑ กองเรือรบอันเกรียงไกรของญี่ปุ่นซึ่งประกอบด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน
๖ ลำ เรือพิฆาต ๙ ลำ เรือประจัญบาน ๒ ลำ เรือลาดตระเวณหนัก ๒ ลำ เรือลาดตระเวณเบา ๑ ลำ เรือน้ำมัน ๘ ลำ เรือดำน้ำ ๒๓ ลำ
และเรือดำน้ำจิ๋วอีก ๕ ลำ พร้อมเครื่องบิน ๔๑๔ เครื่อง ได้ออกเดินทางไปจุดนัดพบที่อ่าวฮิโตคับปุ
ของเกาะอิโตโรฟุ ในหมู่เกาะคูริว ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังหมู่เกาะฮาวาย
ระหว่างทาง ฟูชิดะมีคำสั่งให้นักบินทุกนายฝึกทดสอบการบินทิ้งระเบิดโดยใช้เครื่องวัดจำลองทุกวัน
จนเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๑๙๔๑
กองเรือญี่ปุ่นได้เติมน้ำมันครั้งสุดท้ายก่อนเข้าสู่น่านน้ำอเมริกัน และนักบินทุกนายได้รับคำสั่งให้พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนออกปฏิบัติการในวันรุ่งขึ้น
มิตซูโอะ
ฟูชิดะ ในชุดบินก่อนออกปฏิบัติการ
ฟูชิดะตื่นนอนเวลาตีห้าและรับประทานอาหารเช้าอย่างเร่งรีบ
แต่เขาก็ไม่ตื่นเต้นกับภารกิจสะท้านโลกที่กำลังจะต้องออกไปทำหลังจากฝึกมานาน
และเมื่อเวลา ๖.๑๕ นาฬิกา เขาได้รับคำสั่งให้นำคลื่นการโจมตีแรกฝ่าหมอกอันหนาทึบเดินทางออกไปปฏิบัติภารกิจ ซึ่งคลื่นการโจมตีแรกนี้แบ่งออกเป็น
๓ กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดและตอร์ปิโด นากาจิมา บี ๕-เอ็น “คาเตะ” โดยในจำนวนนี้บรรทุกระเบิด ๑,๗๖๐ ปอนด์ จำนวน ๕๐ ลำ ส่วนอีก ๔๐ เครื่อง บรรทุกตอร์ปิโดแบบ ๙๑ ขนาด ๑๗.๗ นิ้ว เพื่อจัดการกับเรือรบต่าง
ๆ ที่ทอดสมออยู่ในอ่าวเพิร์ล กลุ่มที่สองประกอบด้วยเครื่องบินดำทิ้งระเบิดไอชิ ดี
๓-เอ “วาล” จำนวน ๕๕ เครื่อง
มีหน้าที่จัดการกับโรงเก็บเครื่องบินและสนามบินบนเกาะฟอร์ดและสนามบินวีลเล่อร์บนเกาะฮอโนลูลู
ส่วนกลุ่มที่สามเป็นเครื่องบินขับไล่คุ้มกัน เอ ๖-เอ็ม จำนวน ๔๕ เครื่อง
เครื่องบินญี่ปุ่นเตรียมออกปฏิบัติการ
ฟูชิดะในฐานะผู้อำนวยการโจมตีบินไปกับคาเตะโดยมีเรือโท
มัทสุซากิ เป็นนักบิน และพันจ่าเอก โทโกโนบุ มิซูกิ เป็นพลวิทยุ ระหว่างที่ออกเดินทางเขาเกรงว่าทัศนวิสัยจะไม่เอื้อต่อการโจมตีและจะทำงานพลาดเพราะตอนขึ้นจากเรือนั้นหมอกลงจัดมาก
แต่เมื่อเวลาประมาณ ๗.๓๐ นาฬิกา เมื่อบินไปถึงนอร์ทพอยท์ของโอฮาอู เขากลับพบว่าอากาศที่นั่นดีเหลือเกิน
พระอาทิตย์อันเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นส่องแสงแรงจ้าเหมือนจะอวยชัยให้พรแก่พวกเขา ทำให้ฟูชิดะและบรรดาลูกพระอาทิตย์มีความฮึกเหิม ฟูชิดะจึงออกคำสั่งให้ปรับขบวนบินเพื่อเตรียมการโจมตี
และเครื่องคุ้มกันก็เริ่มกวาดตาหาข้าศึก
แต่ประหลาดว่าไม่มีการบินลาดตระเวนเลยทั้งที่เป็นที่ทราบกันดีว่าสถานการณ์ระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐในขณะนั้นอยู่ในภาวะที่คับขันมาก
ฟูชิดะจึงเริ่มมั่นใจว่าการโจมตีครั้งนี้จะเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับอเมริกันอย่างแน่นอน
เมื่อเข้าเขตโจมตี
ฟูชิดะเห็นเรือเป้าเก้าลำจอดนิ่งอยู่ที่ท่าตามตำแหน่งที่เก็นดะแจ้งทุกประการ
แต่ไม่มีเงาของเรือบรรทุกเครื่องบินเลยสักลำ เขาจึงสั่งให้ยิงพลุชี้เป้า
ทุกหมู่บินแสดงอาการรับทราบและเตรียมพร้อม และเมื่อเวลา ๗.๔๙ นาฬิกา
เหนือลาลาลาไฮพอยท์ ฟูชิดะมีคำสั่ง “โท-โท-โท” ซึ่งย่อมาจากคำว่า “โทสุเกกิ” (突撃) ที่แปลว่าโจมตี มิซูกิจึงวิทยุแจ้งนักบินทุกลำทราบ และแยกย้ายกันเข้าโจมตีขณะที่ฝ่ายอเมริกันไม่รู้ตัว พร้อมกับสั่งให้มิซูกิส่งสัญญาณ “โทรา-โทรา-โทรา” (虎-虎-虎) ที่แปลว่า “เสือ-เสือ-เสือ”
อันเป็นรหัสแจ้งการโจมตีกลับไปที่กองบัญชาการ และรหัสนี้เองที่ทำให้โลกต้องตกตะลึงกับการกระทำของญี่ปุ่นและเป็นการเปิดฉากสงครามอันโหดร้ายขึ้นในทวีปเอเซีย
ภาพถ่ายของเรือรบที่จอดอยู่ที่อ่าวเพิร์ล
ถ่ายจากเครื่องบินญี่ปุ่นขณะที่เข้าโจมตี
เมื่อสิ้นคำสั่งของฟูชิดะ
ฝูงเครื่องบินคุ้มกันซีโร่ภายใต้การควบคุมของนาวาโท ชิเกรุ อิตายะ ก็เปิดฉากการแสดงเหนือดินแดนอเมริกันโดยยิงอุปกรณ์สงครามของอเมริกันทุกอย่างที่มองเห็น เครื่องดำทิ้งระเบิดภายใต้การกำกับของนาวาโท คากูชิ ทากาฮาชิ
จากเรือบรรทุกเครื่องบินโชกากุ ดำลงโจมตีเรือที่จอดติดกับท่าและลงบอมบ์สนามบินที่เกาะฟอร์ดและสนามบินวีลเล่อร์
ส่วน บี ๕-เอ็น ที่บรรทุกตอร์ปิโดที่ควบคุมโดยเรือโท ชิเกฮารุ มูระตะ ที่เคยมีประสบการณ์จมเรือพานายของสหรัฐที่เซี่ยงไฮ้ ก็เริ่มสาธิตการส่งตอร์ปิโดลงน้ำไปทำลายเรือรบที่จอดอยู่ด้านนอกตามแผนของเก็นดะ
นาวาโท ชิเกรุ อิตายะ
ฟูชิดะลุ้นมากกับงานของมูระตะเพราะหากไม่สำเร็จ
เรือทั้งหมดก็จะมีทางหนีออกมาได้และนั่นก็จะทำให้แผนล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เขาสั่งให้มัทสุซากิบินไปอยู่เหนือเรือเป้าเพื่อดูผลงานของตอร์ปิโด ทันใดนั้นปืนต่อสู้อากาศยานประจำเรือก็ยิงขึ้นมาเป็นสาย
พวกอเมริกันเริ่มตั้งตัวได้แล้ว ฟูชิดะรู้สึกว่าเครื่องของเขาถูกยิงจนสะเทือนไปหมดได้
แต่ก็คุ้มกับที่เห็นผลงานของมูระตะ ตอร์ปิโดแบบ ๙๑
กระทบเป้าเกือบทุกลูกและเรือเป้าระเบิดอย่างรุนแรง
และหลังจากบินผ่านเรือแคลิฟอร์เนียในรอบที่สาม
ฟูชิดะก็สั่งให้มัทสุซากิเทไข่ระเบิดประจำเครื่องของเขาใส่เรือแคลิฟอร์เนียซึ่งโดนเข้าอย่างจังจนเกิดระเบิดอย่างรุนแรงก่อนจะจมลงอย่างรวดเร็ว
ส่วนเรืออริโซนาก็โดนทั้งตอร์ปิโดและระเบิดจากเครื่องบินจนจมลง (แต่ภายหลังจัดรพรรดิ์นาวีกลับประกาศว่าเรืออริโซนาจมลงโดยการระเบิดพลีชีพของเรือดำน้ำมิดเจ็ตเพื่อผลทางจิตวิทยา
ซึ่งทำให้ฟูชิดะและนักบินผู้ร่วมปฏิบัติการถล่มอ่าวเพิร์ลที่รู้ความจริงโกรธมาก)
เรือ USS California กำลังจม
เวลา
๘.๔๐ นาฬิกา เมื่อนาวาโท ชิเกคาสุ ชิมาซากิ นำคลื่นการโจมตีระลอกที่สองมาถึงยุทธบริเวณ ฟูชิดะก็มอบอำนาจบังคับบัญชาการโจมตีให้แก่ชิมาซากิ
แล้วเขาสั่งให้มัทสุซากิบินขึ้นหาระยะสูงเพื่อตรวจสอบผลการปฏิบัติงานในฐานะผู้อำนวยการโจมตี
สำหรับคลื่นการโจมตีที่ชิมาซากินำมาด้วยนี้แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่มเช่นกัน กลุ่มที่หนึ่งประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดและตอร์ปิโด
นากาจิมา บี ๕-เอ็น “คาเตะ” บรรทุกระเบิด ๕๕๐ ปอนด์ และ ๑๒๐ ปอนด์ จำนวน ๕๔ ลำ กลุ่มที่สองประกอบด้วยเครื่องบินดำทิ้งระเบิดไอชิ
ดี ๓-เอ “วาล” จำนวน ๘๑ เครื่อง โดยกลุ่มที่หนึ่งและกลุ่มที่สองมีหน้าที่จัดการกับโรงเก็บเครื่องบินและสนามบินให้สิ้นทราก
ส่วนกลุ่มที่สามเป็นเครื่องบินขับไล่คุ้มกัน เอ ๖-เอ็ม จำนวน ๓๖ เครื่อง
เมื่อคลื่นการโจมตีระลอกที่สองเสร็จภารกิจ
ฟูชิดะได้สั่งให้มัทสุซากิบินสำรวจเที่ยวสุดท้ายและบินกลับไปยังอกากิ และได้เข้าไปรายงานต่อนากูโมว่าเขาเห็นเรือเป้าจมแน่
ๆ ๔ ลำ เสียหายหนัก ๓ ลำ สนามบินและโรงเก็บเสียหายยับเยิน แต่อู่แห้งและคลังน้ำมันเสียหายบางส่วน
และเขาเสนอให้เปิดการโจมตีระลอกที่สามเพื่อปัดกวาดสิ่งเหล่านี้เสีย
เพราะขณะนี้ญี่ปุ่นครองอากาศเหนือฮาวายได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่สิ่งที่นากูโมถามขึ้นมากลับกลายเป็นว่า
ฟูชิดะคิดว่าเรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกันอยู่ที่ไหน ซึ่งเขาเห็นว่าน่าจะออกไปซ้อมรบในน่านน้ำอเมริกันเพราะไม่เห็นเครื่องบินขับไล่ของกองทัพเรืออเมริกันเลย
นากูโมขอบคุณเขาและสั่งให้กองเรือมุ่งหน้ากลับญี่ปุ่นทันทีเพราะภารกิจในการทำลายอ่าวเพิร์ลสำเร็จแล้วท่ามกลางความงุนงงของบรรดาเสนาธิการทั้งหลายรวมทั้งฟูชิดะด้วย
เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ
ฟูชิดะเดินไปดูเครื่องบินของเขาและพบว่ามันถูกยิงเป็นรูขนาดเอากำปั้นยัดเข้าไปได้ถึง
๒๑ รู แต่ก็น่าแปลกที่ว่าลูกเรือทั้งสามนายไม่เป็นอะไรเลย แต่สิ่งที่น่าขนลุกดูเหมือนจะเป็นลวดโยงคันบังคับที่ถูกยิงแหว่งจากขนาดเกือบเท่านิ้วก้อยคงเหลือเท่าเส้นด้ายเท่านั้น
เขารู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที
และเข้าใจความหมายของสัจธรรมที่ว่าชีวิตของคนเราแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างชัดเจน
ความเป็นและความตายของมนุษย์มีเส้นแบ่งเล็ก ๆ เพียงนิดเดียวเท่านั้น
และแม้ปฏิบัติการของฟูชิดะทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาติ และได้มีโอกาสถวายรายงานต่อองค์สมเด็จพระจักรพรรดิ์ด้วย
แต่เขาก็ไม่เคยลืมบทเรียนที่ได้จากลวดโยงคันบังคับนั้นเลย
หลังจากโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์แล้ว
กองเรือบรรทุกเครื่องบินที่หนึ่งได้รับคำสั่งให้ล่องใต้ไปตีหัวออสเตรเลียเป็นลำดับต่อไป
โดยแผนปฏิบัติการนี้กำหนดในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๑๙๔๒
หรือหลังจากจัดการกับอเมริกาได้เพียงสองเดือนเศษเท่านั้น
ตามแผนนั้นกองเรือบรรทุกเครื่องบินที่หนึ่งจะส่งเครื่องบินออกไปทิ้งระเบิดดาร์วินอันเป็นเมืองเอกของเขตปกครองเหนือ
(Northern
Territory ) ของออสเตรเลีย รวม ๒ ระลอก และแน่นอน
ผู้ชำนาญการอย่างฟูชิดะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อำนวยการโจมตีอีกครั้งหนึ่ง
USS Peary
เมื่อคลื่นการโจมตีระลอกแรก
จำนวน ๑๘๘ ลำ ไปถึงเป้าหมาย ฟูชิดะและคณะถึงกับเหวอกับสภาพเป้าหมายที่เห็น มันต่างจากอ่าวเพิร์ลลิบลับ
มีท่าจอดเรือเล็ก ๆ แห่งเดียว มีเรือพิฆาตอายุ ๒๑ ปี ของอเมริกันจอดอยู่หนึ่งลำ คือ เรือพิฆาตพีรี (USS Peary) เรือขนส่งของกองทัพบกอเมริกันหนึ่งลำ
เรือลาดตระเวนเบามาวี (HMAS Marvie)
ของกองทัพเรือออสเตรเลีย นอกนั้นเป็นเรือพาณิชย์ มีสนามบินเก่า
ๆ และโรงเก็บเครื่องบินผุ ๆ พัง ๆ อยู่สองสามหลัง แม้จะมีปืน ปตอ.จำนวนมาก
แต่ยิงแบบขอไปทีไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่อ่าวเพิร์ล โดยที่สภาพเป้าหมายออกจะกันดารเช่นนี้
ความเสียหายจากการโจมตีจึงเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับอาวุธยุทธปัจจัยและเวลาที่ทุ่มเทลงไป
และกองทัพเรือจึงได้ยุติแนวคิดที่จะยึดออสเตรเลียลงเพื่อนำยุทธปัจจัยไปทุ่มเทด้านอื่นต่อไป
และได้มีคำสั่งให้กองเรือบรรทุกเครื่องบินที่หนึ่งไปอาละวาดที่มหาสมุทรอินเดียแทน
HMS Cornwall เหยื่อของฟูชิดะ HMS Dorsetshire
ในการโจมตีสถานีทหารเรือภาคตะวันออกของอังกฤษที่ศรีลังกาเมื่อวันที่
๕ เมษายน ๑๙๔๒ ฟูชิดะได้รับคำสั่งให้นำลูกน้องออกไปโจมตีทิ้งระเบิดสถานีทหารเรือภาคตะวันออกของอังกฤษจนเรืออังกฤษจมไป ๒ ลำที่ท่าเรือ พร้อมเครื่องบินรบ ๒๗ ลำ หลังจากนั้น พวกเขาตามไปพบเรือคอนวอลและเรือดอว์เส็ตเชียร์ที่กลางทะเลห่างจากศรีลังกาไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ๒๐๐ ไมล์
นักบินนาวีภายใต้การบังคับบัญชาของฟูชิดะจึงช่วยกันจมเรือทั้งสองลำเสีย
แผนที่แสดงการปฏิบัติการที่ทะเลคอรัลจากรายงานของนายพลแม็คอาร์เธอร์
หลังจากอาละวาดในมหาสมุทรอินเดียอยู่ไม่นาน
จักรพรรดิ์นาวีมีคำสั่งให้กองเรือบรรทุกเครื่องบินที่หนึ่งไปร่วมการยุทธ์ที่ทะเลคอรัลระหว่างวันที่ ๔-๘
พฤษภาคม ๑๙๔๒ ก่อนที่จะไปยึดมิดเวย์ในแปซิกฟิกในเดือนมิถุนายน แต่ระหว่างทางฟูชิดะมีอาการเครียดเนื่องจากต้องออกปฏิบัติการถี่ยิบและดับเครียดด้วยการดื่มสุรามากจนทำให้กระเพาะทะลุและมีอาการชาตามมือตามเท้าจึงต้องพักรักษาตัวและไม่สามารถเข้าร่วมการรบที่ทะเลคอรัลที่นักบินนาวีสามารถจมเรือบรรทุกเครื่องบินเล็กซิงตันได้
ขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินจอร์จทาวน์เสียหายอย่างหนัก
ฟูชิดะรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการยุทธ์ครั้งนี้ทั้งที่ตัวเองเป็นผู้บังคับการการปฏิบัติการทางอากาศของกองเรือ
จึงพยายามพักผ่อนเต็มที่หลังจากการผ่าตัดเพื่อให้สามารถเข้าร่วมการยุทธ์ที่มิดเวย์ได้ทัน
Curtiss SB2C Helldiver
แต่เช้าตรู่ของวันที่ ๔
มิถุนายน ๑๙๔๒ อันเป็นวันเริ่มปฏิบัติการนั้น ฟูชิดะเพิ่งตัดไหม เขาจึงทำได้แต่เพียงโบกมือให้กำลังใจเครื่องบินของกองเรือจำนวน ๑๐๘ ลำ บนสะพานเดินเรือก่อนออกบินไปถล่มมิดเวย์ตามแผนก่อนที่จะส่งทหารบกเข้ายึด
แต่คราวนี้พวกอเมริกันไม่ยอมโดนตีข้างเดียว ในตอนสาย ๆ ประมาณ ๑๐.๒๐ นาฬิกา เรือบรรทุกเครื่องบินเอ็นเตอร์ไพร้ซ์ได้ส่งเฮลไดร์เวอร์
(Curtiss SB2C Helldiver)
และดอนท์เลส (Douglass
SBD Dauntless) มาแจกตอร์ปิโดและระเบิดกองเรือบรรทุกเครื่องบินที่หนึ่งเป็นการตอบแทนด้วย
สำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินอกากิที่ฟูชิดะอยู่บนสะพานเดินเรือด้วยนั้นแม้จะโดนระเบิดเพียงลูกเดียว แต่ก็ดันผ่าไปโดนตรงโรงเก็บเครื่องบินที่กำลังเติมน้ำมันและติดอาวุธอยู่พอดี
ทำให้ระเบิดลูกเล็กกลายเป็นการระเบิดครั้งใหญ่
ฟูชิดะซึ่งอ่อนระโหยโรยแรงอยู่บนสะพานเดินเรือรีบลงบันไดมาเพื่อช่วยดับเพลิงนรกที่กำลังลุกโหมอย่างรุนแรง
แต่อาการป่วยของเขาทำให้ฟูชิดะหน้ามืดจนร่วงลงมาจากบันไดตกลงมาจนขาหักทั้งสองข้างและถูกนำส่งโรงพยาบาล
และจักรพรรดิ์นาวีก็มิได้ส่งเขาออกแนวหน้าอีกตลอดสงคราม โดยให้ปฏิบัติหน้าที่ในฝ่ายเสนาธิการแทน
Douglass SBD Dauntless
ในวันที่
๕ สิงหาคม ๑๙๔๕ ขณะที่ฟูชิดะและคณะเสนาธิการกองทัพเรือกำลังประชุมร่วมกับคณะเสนาธิการทหารบกอยู่เกี่ยวกับสงครามที่เข้าใกล้แผ่นดินญี่ปุ่นเข้ามาทุกที
แต่เขาได้รับคำสั่งด่วนให้เดินทางกลับกองบัญชาการกองทัพเรือโตเกียว
เขาจึงเดินทางกลับทันทีในวันนั้น
ก่อนที่อีโนล่าเกย์จะหย่อนลิตเติลบอยลงสู่ฮิโรชิมาในวันรุ่งขึ้น
หลังสงคราม
ฟูชิดะซึ่งรับรู้สัจธรรมแห่งชีวิตอย่างมากมายระหว่างสงครามได้บวชเป็นพระในคริสตศาสนา
และเข้าร่วมกองทัพธรรมกับบรรดานักบินทุกชาติระหว่างสงครามที่บวชเป็นพระในคริสตศาสนาเพื่อเผยแผ่พระธรรมตามหลักคำสอนของคริสตศาสนาไปทั่วสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นทั่วโลก
เจ้าของคำพูด “โทรา-โทรา-โทรา”
ที่ก้องโลกผู้นี้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคเบาหวานในเมืองคาชิวาระใกล้ ๆ กับโอซากา เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๑๙๗๖ เมื่อมีอายุ ๗๔ ปี
และหากผู้ใดเคยชมภาพยนต์เรื่อง โทรา-โทรา-โทรา ในปี ๑๙๗๐ ผู้แสดงเป็นฟูชิดะในภาพยนต์เรื่องนั้นชื่อ ทากาฮิโร ทามูระ