วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

อีวาน โคเชดับ "Ivan the Terrible"



         “อีวานอันตราย (Ivan the Terrible) นั้น เดิมเป็นสมัญญานามที่ประชาชนชาวรัสเซียถวายให้แก่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ (Tsar) องค์แรกของพวกเขา คือ พระเจ้าซาร์ อีวาน ที่สี่ ฟาซิลเยวิช (Ivan IV Vasiljevich) (ค.ศ. 1530-1584: พ.ศ. 2073-2127) หลังจากที่พระองค์นำกองทัพรัสเซียเข้ายึดคาซาน เมืองหลวงของแคว้นคาซานคาเนท (Казанское ханство) ของชาวตาร์ต้า (Tatar) ได้สำเร็จในปี 1552 (2095) และทำให้จักรวรรดิรัสเซียกลายเป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น
 
 พระฉายาลักษณ์สีน้ำมัน พระเจ้าซาร์ อีวาน ที่สี่ ฟาซิลเยวิช (Ivan IV Vasiljevich)

โดย วิคเตอร์ วาฟเน็ตซอฟ (Viktor Vasnetsov), 1897



            แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อีวานอันตราย ได้กลายเป็นสมญานามที่รู้จักกันทั่วไปในน่านฟ้าตะวันออก โดยนักบินของกองทัพแดง นักบินสัมพันธมิตร และนักบินของข้าศึกอย่างเยอรมันเองใช้เรียกนักบินกองทัพอากาศรัสเซียคนหนึ่งที่มีฝีมือบินไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านักบินผู้ชำนาญการศึกของเยอรมัน รวมทั้งมีกลยุทธ์การโจมตีที่บ้าบิ่น สามารถทำสถิติยิงเครื่องบินเยอรมันตกถึง 62 ลำ ซึ่งนับว่ามากที่สุดในบรรดานักบินสัมพันธมิตร เขาผู้นั้น คือ อีวาน โคเชดับ



             อีวาน นิกิโตวิช โคเชดับ (Иван Никитович Кожедуб) เกิดในครอบครัวชาวยูเครนที่ยากจนเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 1920 (2463) ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ โอบราเชเยฟก้า (Obrazheyevka) เขตโช๊ตส์ก้า (Shostka) จังหวัดซูมี (Sumy) ตอนเหนือของยูเครน (ปัจจุบันซูมีกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศยูเครนด้านติดกับรัสเซีย) อีวาน โคเชดับ มีพี่น้องรวม 5 คน โดยเขาเป็นคนสุดท้อง โคเชดับเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนใกล้บ้านเมื่อมีอายุ 7 ขวบ และหลังจากเรียนจบชั้น 7 ในปี 1934 (2477) ขณะที่มีอายุ 14 ปี เขาได้เข้าเรียนต่อสายอาชีพที่โรงเรียนเคมีเทคนิคโช๊ตส์ก้าจนจบการศึกษาในปี 1940 (2483) เมื่อมีอายุ 20 ปี และได้เข้าฝึกบินในสมาคมการบินโช๊ตส์ก้าในปีนั้นเอง

            แต่ในปี 1940 นั้น สัมพันธภาพระหว่างเยอรมันกับรัสเซียมีทีท่าไม่สู้ดีนักและส่อเค้าว่าอาจเกิดสงครามระหว่างกันขึ้นได้ ชายหนุ่มผู้รักชาติทั้งหลายจึงสมัครเข้ารับราชการในกองทัพแดงเป็นจำนวนมาก หนุ่มยูเครนอย่างโคเชดับเองซึ่งมีพื้นฐานทางการบินมาแล้วก็ได้สมัครเป็นทหารในสังกัดโวเอนโน วอสดุซนี ซิลลี่ (Военно-воздушные силы) หรือกองทัพอากาศรัสเซีย กับเขาด้วย สำหรับกองทัพอากาศรัสเซียนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกย่อ ๆ ตามเสียงพูดภาษารัสเซียว่า “VVS”

 

สัญลักษณ์ของกองทัพอากาศรัสเซีย


           โคเชดับมีบุคลิกที่โดดเด่น เฉลียวฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณดี และมีพื้นฐานทางการบินมาก่อน จึงได้รับเลือกให้อยู่ในเหล่านักบินและถูกส่งไปฝึกบินที่โรงเรียนการบินชูกูยิฟ (Chuguyiv) อันโด่งดังของรัสเซีย ที่จังหวัดคราครอฟ (Kharkov) ทางตะวันออกของยูเครน โดยโรงเรียนการบินชูกูยิฟนี้ใช้เครื่องบินโปลิคาป๊อฟ (Polikarpov) UTI-4 ปีกชั้นเดียวสองที่นั่งสำหรับศิษย์การบินชั้นประถม และใช้โปลิคาป๊อฟ I-16 สำหรับศิษย์การบินชั้นมัธยม ซึ่งเจ้าโปลิคาป๊อฟ I-16 นี้นักบินขนานนามให้หลากหลาย นักบินรัสเซียเองเรียกมันว่า อิชัค (Ishak) ซึ่งแปลว่าเจ้าลาน้อย (Jackass) บ้าง เรียกว่า ยาสเตอร์บ๊อค (Jastrebok) ซึ่งแปลว่าเหยี่ยวหนุ่ม (Young eagle) บ้าง ส่วนนักบินเยอรมันเห็นว่าหน้าตาเจ้า I-16 เหมือนกับหนู ก็เลยเรียกมันว่า ราท่า (Rata) ซึ่งแปลว่าหนู (Rat) นักบินในสงครามกลางเมืองของเสปนกับนักบินญี่ปุ่นมีมุมมองต่อ I-16 คล้าย ๆ กัน โดยนักบินในสงครามกลางเมืองของเสปนเรียกมันว่า มอสค่า ซึ่งแปลว่าแมลงวัน ส่วนนักบินญี่ปุ่นเรียกมันว่า อบู (Abu) ซึ่งแปลว่าตัวเหลือบ (Gadfly)

 I-16


             แม้อีวาน โคเชดับ จะเป็นเอกทัคคะทางการบินและจบการศึกษาจากโรงเรียนการบินชูกูยิฟด้วยคะแนนยอดเยี่ยมในปี 1941 (2484) แต่เนื่องจากรัสเซียถูกลุฟท์วาฟเฟ่ถล่มเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 1941 ต้องเสียเครื่องบินและนักบินไปเป็นจำนวนมาก และกองทัพเยอรมันได้ยาตราทัพลึกเข้ามาในดินแดนของรัสเซีย กองทัพอากาศรัสเซียจึงเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเก็บตัวนักบินฝีมือเยี่ยมไว้เป็นครูการบินเพื่อสร้างนักบินใหม่ขึ้นมาทดแทนผู้ที่สละชีพไปแล้วเพื่อประโยชน์ในการตีตอบโต้ในวันข้างหน้า บรรดาศิษย์การบินที่จบการศึกษาด้วยคะแนนดี ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโคเชดับจึงได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ครูการบินประจำโรงเรียนการบินชูกูยิฟแทนที่จะได้ออกศึก แม้เขาจะวิ่งเต้นเพื่อออกไปรบแนวหน้าหลายครั้ง แต่กองทัพอากาศรัสเซียก็ไม่เคยใจอ่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว


             กลางปี 1942 (2483) กองทัพอากาศรัสเซียได้เริ่มปลดระวางของเก่าลายครามอย่าง I-16 เพราะไม่สามารถสู้กับ Bf-109 ของเยอรมันได้เลย และนำ Mig-3 และ Lavochkin LaG-5 ซึ่งพัฒนาขึ้นมาใหม่และมีคุณภาพสูสีกับ Bf-109 ของเยอรมันมาใช้ทดแทน โดยโรงเรียนการบินชูกูยิฟได้รับมอบ LaG-5 มาใช้สอนศิษย์การบินชั้นมัธยมด้วยเพื่อให้เกิดความชำนาญก่อนออกปฏิบัติการรบจริง โคเชดับจึงเปลี่ยนมาบินกับ LaG-5 ที่มีความเร็วสูงสุดถึง 648 กิโลเมตร/ชั่วโมง (มากกว่า Bf-109 ที่มีความเร็วสูงสุดเพียง 560 กิโลเมตร/ชั่วโมง) กับปืน 20 มิลลิเมตร 4 กระบอก และใช้โอกาสที่เป็นครูการบินฝึกบินกับ LaG-5 จนอยู่มือ

             หลังจากสอนอยู่ที่ชูกูยิฟได้ 2 ปี กองทัพอากาศรัสเซียจึงมีคำสั่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1942 ให้เขาซึ่งขณะนี้เป็นจ่าอากาศโท (Starshij serzhant) ออกปฏิบัติการรบโดยให้ไปประจำฝูงบิน 240-1 ที่เมืองอิวาโนโว่ (Ivanovo) และในวันที่ 26 มีนาคม 1943 (2486) กองทัพอากาศรัสเซียได้มีคำสั่งให้ฝูงบิน 240-1 ออกปฏิบัติการรบในแนวรบโวรอนเนช (Voronezh Front) ทางตอนใต้ของรัสเซียกลางใกล้กับยูเครน และอดีตครูการบินไฟแรงอย่างโคเชดับก็ได้ออกปฏิบัติการรบเที่ยวแรกในวันนั้นเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่น่าประทับใจเท่าใดนักเมื่อเครื่องบินคู่ชีพของเขาเกิดมีปัญหาจนต้องถอนตัวจากการรบ และขณะที่บินกลับฐานบินนั่นเอง เหล่า ปตอ.เกิดสำคัญผิดคิดว่าเครื่องบินของเขาเป็นเครื่องบินเยอรมันจึงยิงเขาเสียหลายชุดกว่าจะยุติ ดีว่ายิงไม่แม่นเขาจึงรอดตายไปได้ แต่กระนั้นการลงจอดก็สาหัสพอแรงเนื่องจากสนามบินถูกฝูงบินเยอรมันมาถล่มจนเสียหายอย่างหนัก แต่โคเชดับก็เก๋าพอที่จะเอาเครื่องลงได้โดยไม่เสียหาย

            ต่อมา กองทัพอากาศรัสเซียมีคำสั่งให้ฝูงบิน 240-1 เข้าร่วมต่อต้านการยึดพื้นที่เคิชร์ (Battkle of Kursk) ตามแผนปฏิบัติการซิต้าเดล (Operation Zitadelle) ของเยอรมัน และเพื่อสนับสนุนกองทัพแดงในการยึดเมืองออโยล (Oryol) เบลโกรอด (Belgorod) และคราครอฟ (Khrakov) คืน โคเชดับซึ่งตอนนี้ได้รับการเลื่อนยศเป็นเรืออากาศตรี (Miadshij Lejtenant) จึงมีโอกาสเก็บเกี่ยวชัยชนะทางอากาศเป็นครั้งแรก โดยในวันที่ 6 กรกฎาคม 1943 นั้น ฝูงบินของเขาได้รับคำสั่งให้ออกปฏิบัติการคุ้มครองกองกำลังภาคพื้นดินของกองทัพแดงในเขตโปครอฟก้า เมืองที่อยู่ห่างจากมอสโคว์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 1,500 กิโลเมตร ซึ่งกองกำลังภาคพื้นดินของกองทัพแดงกำลังถูกยุงเคอร์ ยู 87 สตูก้า (Junkers Ju 87 Stuka) จำนวน 22 เครื่อง รุมโจมตี เมื่อนาวาอากาศตรี โซดาติเอนโก้ ผู้บังคับฝูง ให้สัญญาณเข้าโจมตี โคเชดับจึงเร่งเครื่องตามสตูก้าลำหนึ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วและยิงทันทีที่ได้ระยะ เจ้าสตูก้าเคราะห์ร้ายลำนั้นก็หัวปักตกพื้นไป ส่วนลำอื่นก็รีบบินหนีไปทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่เหมือนการฝึก ผมตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก ต้องคอยหมุนศรีษะไปรอบ ๆ เพื่อดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาทีเดียว กว่าผมจะนึกได้ว่าทำอะไรลงไปบ้างก็เมื่อตอนที่ลงจอดแล้ว โคเชนดับเล่าถึง ครั้งแรก ของเขา


         หลังจากเปิดสกอร์ได้แล้ว การล่าครั้งต่อ ๆ ไปดูเหมือนจะง่ายไปหมด โดยหลังจากยิงสตูก้าเครื่องแรกตกในวันที่ 6 แล้ว ในวันรุ่งขึ้น (7 กรกฎาคม) โคเชดับก็สามารถสอยสตูก้าลงได้อีก 1 เครื่อง ถัดไปอีก 2 วัน (9 กรกฎาคม) เขากับลูกหมู่ได้รับมอบหมายให้ออกลาดตระเวนตามแนวรบและมองเห็นหมู่บินเยอรมันซึ่งประกอบด้วยสตูก้า 9 ลำ โฟลเก้ โวฟ Fw-190 2 ลำ และเครื่องบินคุ้มกันแบบแมสเชอร์สมิท Bf-109 อีก 4 ลำ บินมาแต่ไกล แต่พวกเยอรมันดูเหมือนจะไม่เห็นพวกเขา อีวานจึงเร่งเครื่องพุ่งเข้าหาเครื่องบินคุ้มกันอย่างรวดเร็วและสามารถสำเร็จโทษ Bf-109 ได้ 2 ลำ  รวม 4 วันที่ผ่านมาเขายิงเครื่องบินข้าศึกตก 4 เครื่อง และได้รับเหรียญกล้าหาญ Order of the Red Banner เป็นเหรียญแรก และอีก 10 วันต่อมา เขาได้พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นตัวปัญหาของลุฟท์วาฟเฟ่ในแนวรบนี้อย่างแท้จริงเมื่อสามารถยิงเครื่องเยอรมันตกอีก 4 ลำ


             ด้วยผลงานยอดเยี่ยมนี้เองที่ทำให้กองทัพอากาศรัสเซียมีคำสั่งให้เขาปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับฝูงบินเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 1943 นอกจากนี้ ลีลาการโจมตีนอกตำราที่บ้าบิ่นของเขาที่เน้นการมองหาข้าศึกตั้งแต่ไกล ๆ เพื่อไม่ให้เหยื่อรู้ตัว แล้วจึงบินจี้เข้าหาเหยื่อให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ก่อนทำการยิงซึ่งดูเหมือนการจ่อยิงแบบเผาขนนั้น ทำให้ทั้งนักบินเยอรมันและรัสเซียขนานนามเขาว่า อีวานอันตราย ด้วย

          ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 1943 ฝูงบินของโคเชดับทำสถิติยิงเครื่องบินเยอรมันตกรวม 24 เครื่อง โดยเป็นผลงานของผู้บังคับฝูง 5 เครื่อง คือ Bf-109 3 เครื่อง และ Fw-190 กับสตูก้า อย่างละหนึ่งเครื่อง และทำให้กองทัพอากาศรัสเซียเลื่อนยศเขาเป็นเรืออากาศเอก (Kapitan) 

            ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 1943 ฝูงบินของโคเชดับเข้าร่วมการต่อสู้ที่ดุเดือดบริเวณแม่น้ำดนีเพอร์ (Dnypr River) และโคเชดับทำสถิติยิงเครื่องบินเยอรมันตกถึง 11 เครื่อง ใน 10 วัน โดยในวันที่ 1 ตุลาคม เขาพบกับขบวนบินสตูก้าในการออกลาดตระเวนทางตะวันตกของเมืองโพเกร็บนายา (Pogrebnaya) และส่งเจ้าสตูก้าลงไปจมกองหิมะได้ 2 ลำ วันถัดมาโคเชดับกับลูกฝูงอีก 8 ลำ บินไปพบกับขบวนบินของเยอรมันจำนวน 27 ลำ อีวานอันตรายนำลูกฝูงเข้าไปจ่อยิงเครื่องบินเยอรมันอย่างบ้าบิ่น โดยเขาจัดการสตูก้าลงได้ 2 ลำ กับ Bf-109 อีก 1 ลำ ส่วนลูกฝูงของเขายิงสตูก้าตก 4 ลำ และ Bf-109 อีก 3 ลำ โดยฝ่ายรัสเซียไม่ได้รับความสูญเสียเลย อีกสามวันต่อมา (5 ตุลาคม) ในเที่ยวบินเช้า เขากับลูกฝูงซึ่งใช้ Lavochkin LaG-5 รวม 14 ลำ บินไปลาดตระเวนเหนือเมืองโบโดดาเยฟก้า (Bododayevka) พบกับ Bf-109 ของเยอรมันจำนวน 15 ลำ และผู้บังคับฝูงโคเชดับสามารถเพิ่มสถิติของตัวเองได้อีก 1 ลำ และในการออกปฏิบัติการรอบบ่ายเขายิงสตูก้าตก 3 ลำและ Bf-109 ซึ่งคุ้มกันฝูงสตูก้าตกอีก 2 ลำ แต่ในวันที่ 12 ตุลาคม เขาถูกนักบินเยอรมันเอาคืนบ้างโดยเขาถูกยิงได้รับบาดเจ็บและเครื่องบินได้รับความเสียหาย แต่กระนั้น โคเชดับก็สามารถนำเครื่องบินพิการของตนลงจอดได้อย่างปลอดภัย และออกปฏิบัติการรบได้ในตอนปลายเดือน และเมื่อกลับไปบินใหม่ โคเชดับก็สามารถจัดการเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ Heinekel He-111 กับสตูก้าลงได้อย่างละเครื่องในวันที่ 29 ตุลาคม หลังจากนั้น เขาได้รับอนุมัติให้ลาพักผ่อนเพราะได้รับเหรียญ Gold Star ในฐานะเป็นวีรบุรุษแห่งชาติ (Hero of the Soviet Union) จากผลงานการยิงเครื่องบินข้าศึกตกมากกว่า 20 ลำ รวมทั้งได้รับเหรียญ Order of Lenin (Орден Ленина) ด้วย

  

            เมื่อกลับมาปฏิบัติการอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 1 มกราคม 1944 (2487) ฝูงบินของโคเชดับได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมในการรบโชกเลือดบริเวณแม่น้ำบั๊ก (Bug River) เขายิงสตูก้าตก 4 ลำ และ Bf-109 อีก 1 ลำ บริเวณกาปิตาน๊อฟก้าและลีบีดิน (kapitanovka-Lebedin) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของคิโรโวกราด (Kirovograd) ในวันที่ 14 มีนาคม เขาส่งสตูก้าไปจมหิมะได้อีก 1 ลำ หลังจากนั้นอีก 5 วัน เขาสำเร็จโทษ He-111 ลงได้อีก 1 ลำ ในวันที่ 29 มีนาคม Lavochkin LaG-5 จำนวน 6 ลำภายใต้การนำของโคเชดับได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมการกวาดล้างบริเวณเมืองย๊าสซี่ (Yassy) หมู่บินของเขาได้พบกับหมู่บินทิ้งระเบิดแบบ Henschel Hs-129 จำนวน 10 ลำ โดยมี Bf-109 คุ้มกันมา 4 ลำ เขาจึงออกคำสั่งโจมตีและตัวเขาเองสามารถยิง Hs-129 ตก 1 ลำ และได้รับเหรียญ Gold Star เหรียญที่สอง

 เหรียญ Gold Star (медаль)
   
            ในระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม โคเชดับและนักบินของกองทัพอากาศรัสเซียยังคงตามหลอกหลอนนักบินของลุฟท์วาฟเฟ่ที่กำลังเหนื่อยล้าและอ่อนแรง โดยโคเชดับสามารถจัดการเครื่องบินเยอรมันลงได้อีก 5 เครื่อง และในช่วงวันที่ 1-3 มิถุนายน เขาสามารถยิงเครื่องบินของลุฟท์วาฟเฟ่ตกอีก 4 ลำ จนได้รับเลื่อนเป็นรองผู้บังคับการกองบิน ที่ 176 ประจำกองพลที่ 1 เบโลรุสเซีย และได้รับ Lavochkin LaG-7 ไว้ใช้แทน Lavochkin LaG-5 ซึ่งยิ่งทำให้เขามีศักยภาพในการเก็บเกี่ยวชัยชนะเหนือนักบินเยอรมันมากขึ้น โดยในวันที่ 22 กันยายน 1944 อีวานอันตรายดอดเข้าไปยิง Fw-190 ที่บินกันมา 8 ลำ ร่วงลงไป 2 ในการบินผ่านเพียงครั้งเดียวและห่างจากเป้าเพียง 150 เมตรเท่านั้น และเขาทำอย่างเดียวกันนี้อีกในวันที่ 16 มกราคม 1945 (2488) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของเครื่องบินรัสเซียดีขึ้นกว่าเมื่อตอนกระโจนเข้าสู่สงครามมากนัก จนเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เขาทำสถิติยิงเครื่องบินเยอรมันตกครบ 50 เครื่อง เหนือแม่น้ำโอเดอร์ (Oder River) อีกสองวันต่อมาอีวานอันตรายพาลูกหมู่อีก 1 ลำ ออกล่าเหยื่อ และพบกับหมู่บินของเยอรมัน จำนวน 18 ลำที่ระยะห่าง 400 เมตร โคเชดับบินเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว กว่านักบินเยอรมันจะรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับใคร Fw-190 ที่ปิดท้ายขบวนก็ถูกยิงระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว และอีก 2 ลำก็ถูกยิงจนไฟไหม้ควันโขมงและพุ่งโหม่งโลกตามกันไปติด ๆ นักบินเยอรมันที่เหลือซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักบินใหม่และทราบกิติศัพท์ของ อีวานอันตราย เป็นอย่างดีจึงแตกกระจายหนีไปกันคนละทิศละทาง ลูกหมู่ของโคเชดับจึงอาศัยช่วงชุลมุนนี้เก็บเครื่องบินเยอรมันลงได้ 1 ลำ

            ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 1945 มีการอ้างว่าโคเชดับเป็นนักบินคนแรกของโลกที่สามารถยิงเครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบแมสเชอร์สมิท Me-262 ตก แต่ข้อมูลดังกล่าวไม่ปรากฏในบันทึกการบิน (nagranoj lisf) ของเขา และผู้บังคับการกองบิน ที่ 176 ในขณะนั้นก็ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว แต่ไม่ว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ Me-262 จะเป็นอย่างไรก็ตาม โคเชดับยังคงยิงเครื่องบินใบพัดของเยอรมันตกอย่างสม่ำเสมอ โดยเขาสามารถยิง Fw-190 สองลำสุดท้ายตกเหนือน่านฟ้าเบอร์ลิน และทำให้เขากลายเป็นนักบินสัมพันธมิตรที่ยิงเครื่องบินเยอรมันตกมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สองด้วยสถิติ 62 เครื่อง จากการออกปฏิบัติการ 330 เที่ยวบิน และได้รับเหรียญ Gold Star เหรียญที่สามเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 1945



            เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติ โคเชดับยังคงรับราชการเป็นนักบินในกองทัพอากาศรัสเซียและเปลี่ยนไปขับเครื่องบินขับไล่ไอพ่น และเป็นผู้บังคับการกองบิน 324-1 ในสงครามเกาหลีซึ่งรัสเซียอ้างว่ากองบินนี้ยิงเครื่องบินข้าศึกตกถึง 207 ลำ ขณะที่สูญเสีย Mig-15 ไปเพียง 27 ลำ และนักบิน 9 คน หลังจากนั้นเขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการฝึกของกองทัพอากาศในระหว่างปี 1956-1963 (2499-2506) และในปี 1964 (2507) เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการกองบินรักษากรุงมอสโคว์ ตำแหน่งสุดท้ายของเขาในกองทัพอากาศรัสเซียคือผู้ตรวจราชการกระทรวงกลาโหม

 

            อีวานอันตรายเสียชีวิต ในวันที่ 8 สิงหาคม 1991 (2534) เมื่อมีอายุ 71 ปี ศพของเขาฝังไว้ที่สุสานในมอสโคว์ และทางการได้สร้างรูปปั้นสัมฤทธิ์ครึ่งตัวของวีรบุรุษแห่งชาติผู้นี้ตั้งไว้ที่หมู่บ้านโอบราเชเยฟก้าอันเป็นบ้านเกิดของเขา ส่วน Lavochkin LaG-7 เครื่องประจำตัวของเขาตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ทหารอากาศ